เมื่อมีบางสิ่งมากระทบใจจนเสียสมดุล...คุณทำอย่างไร
การรักษาสมดุลของชีวิตไม่ใช่การทำให้ทุกอย่างอยู่ตรงกลาง แต่ในความหมายของผมมันเป็นการทำให้ชีวิตอยู่ตรงตำแหน่งพอดีที่จะไม่เอียงไปทางทุกข์หรือเอียงไปทางสุข เมื่อส่วนที่เป็นทุกข์มีน้ำหนักมากกว่าส่วนทีเป็นสุข เราก็จะต้องทำกิจกรรมที่จะเพิ่มส่วนที่จะให้เกิดน้ำหนักที่เป็นสุขให้มากขึ้น จนกระทั่งใจอยู่ตรงกลางไม่สุขและไม่ทุกข์
ในช่วงวันสองวันที่ผ่านมานี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเข้ามากระทบใจของผมจนรู้ตัวได้ว่าจิตใจไม่อยู่ตรงกลาง แกว่งไปแกว่งมา เมื่อใจเสียสมดุล ชีวิตก็พลอยเสียสมดุลไปด้วย ส่งผลกระทบต่่อชีวิตตนเองและคนในครอบครัวและเพื่อนร่วมงานรอบข้าง พยายามถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่พบคำตอบ เมื่อมีเวลาว่างจึงขอใช้เวลาเข้าไปศึกษาจิตใจตนเองที่วัดอโศการาม ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้บ้าน และมีบรรยากาศที่เหมาะอย่างยิ่งที่จะอยู่อย่างสงบ ใต้ร่มไม้ที่ร่มครึ้ม ลมพัดอ่อน ๆ โชยผ่านเป็นระยะ ผมใช้เวลาสองชั่วโมงในการอ่านหนังสือ "พระพุทธเจ้าพระองค์จริง" อ่านไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้คาดหวังหรือกำหนดกฏเกณฑ์ใด ๆ หลังจากนั้นก็เดินหยั่งรู้การเคลื่อนไหวของตนเอง และเฝ้าดูความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดจากการเคลื่อนไหว จากการเห็น และเสียงที่ได้ยิน
ในขณะที่นั่งอ่านหนังสือเห็นว่ากายกับใจของตนเองจะต้องไปด้วยกัน เพราะเห็นว่าใจเกิดจากการที่มีกาย ใจเกิดจากการทำงานของสมองที่เป็นไปตามธรรมชาติ แต่ธรรมชาติก็สร้างให้สมองพัฒนาได้เพิ่มพูนหากมีการฝึกหรือเมื่อมีการคิดซ้ำ ๆ จนอาจถึงขั้นแยกออกมาจากกายได้ เมื่อได้มาเดินดูการเคลื่อนไหวก็เห็นว่าการพัฒนาของจิตใจเกิดจากการรับรู้ทางกาย เมื่อเห็นนก เห็นไก่ เห็นกระรอก หากินอยู่ตามธรรมชาติ ก็สงสัยว่าสัตว์จะมีความทุกข์เกิดขึ้นตอนไหนบ้าง และคิดว่าสัตว์น่าจะมีความทุกข์ในตอนที่มีความรู้ว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย ตอนหิวหาอาหารไม่ได้ นกกินหนอนโดยไม่รู้สึกว่าบาปหรือกำลังเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็แล้วแต่ สุดท้ายเมื่อเวลาร่วงโรยไปผมก็รู้สึกได้ว่าใจของตนเองนั้นกลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ทุกข์และไม่สุขได้แล้ว หมายความว่าผมน่าจะปรับสมดุลของใจได้แล้ว
ผมยังคงเดินต่อไปและดูใจของตนเองต่อไป แต่แล้วความรู้สึกแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นเมื่อผมต้องเดินผ่านคุณลุงท่านหนึ่งที่แต่งตัวภูมิฐานมาก กำลังกวาดใบไม้ตรงบริเวณทางที่ผมเดิน ความจริงในช่วงท้าย ๆ ของการเดินผมก็ได้ยินเสียงกวาดใบไม้ดังแทรกเสียงนกเสียงกาดังมาจากหลาย ๆ ทิศทางเนื่องจากเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว มีคนหลายคนกวาดใบไม้ แต่ความรู้สึกที่ว่าแปลกนี้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อผมเดินผ่านคุณลุงท่านนี้ซึีงผมเห็นท่านกวาดพื้นอยู่ใกล ๆ มาได้สักพักหนึ่งแล้ว ความรู้สึกนั้นก็คือรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าและเห็นแก่ตัว
นี่คงจะเป็นคำตอบของผมว่าทำไมเราจึงควรทำนุบำรุงวิถีแห่งพุทธ.........
ราเมศร์ เรืองอยู่
9 มี.ค. 56