วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556

    

เมื่อมีบางสิ่งมากระทบใจจนเสียสมดุล...คุณทำอย่างไร



          การรักษาสมดุลของชีวิตไม่ใช่การทำให้ทุกอย่างอยู่ตรงกลาง  แต่ในความหมายของผมมันเป็นการทำให้ชีวิตอยู่ตรงตำแหน่งพอดีที่จะไม่เอียงไปทางทุกข์หรือเอียงไปทางสุข  เมื่อส่วนที่เป็นทุกข์มีน้ำหนักมากกว่าส่วนทีเป็นสุข  เราก็จะต้องทำกิจกรรมที่จะเพิ่มส่วนที่จะให้เกิดน้ำหนักที่เป็นสุขให้มากขึ้น  จนกระทั่งใจอยู่ตรงกลางไม่สุขและไม่ทุกข์
         ในช่วงวันสองวันที่ผ่านมานี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเข้ามากระทบใจของผมจนรู้ตัวได้ว่าจิตใจไม่อยู่ตรงกลาง  แกว่งไปแกว่งมา  เมื่อใจเสียสมดุล ชีวิตก็พลอยเสียสมดุลไปด้วย ส่งผลกระทบต่่อชีวิตตนเองและคนในครอบครัวและเพื่อนร่วมงานรอบข้าง  พยายามถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่พบคำตอบ  เมื่อมีเวลาว่างจึงขอใช้เวลาเข้าไปศึกษาจิตใจตนเองที่วัดอโศการาม  ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้บ้าน  และมีบรรยากาศที่เหมาะอย่างยิ่งที่จะอยู่อย่างสงบ  ใต้ร่มไม้ที่ร่มครึ้ม  ลมพัดอ่อน ๆ โชยผ่านเป็นระยะ  ผมใช้เวลาสองชั่วโมงในการอ่านหนังสือ "พระพุทธเจ้าพระองค์จริง"  อ่านไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้คาดหวังหรือกำหนดกฏเกณฑ์ใด ๆ   หลังจากนั้นก็เดินหยั่งรู้การเคลื่อนไหวของตนเอง  และเฝ้าดูความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดจากการเคลื่อนไหว จากการเห็น  และเสียงที่ได้ยิน     
        ในขณะที่นั่งอ่านหนังสือเห็นว่ากายกับใจของตนเองจะต้องไปด้วยกัน  เพราะเห็นว่าใจเกิดจากการที่มีกาย  ใจเกิดจากการทำงานของสมองที่เป็นไปตามธรรมชาติ  แต่ธรรมชาติก็สร้างให้สมองพัฒนาได้เพิ่มพูนหากมีการฝึกหรือเมื่อมีการคิดซ้ำ ๆ จนอาจถึงขั้นแยกออกมาจากกายได้  เมื่อได้มาเดินดูการเคลื่อนไหวก็เห็นว่าการพัฒนาของจิตใจเกิดจากการรับรู้ทางกาย    เมื่อเห็นนก  เห็นไก่  เห็นกระรอก  หากินอยู่ตามธรรมชาติ ก็สงสัยว่าสัตว์จะมีความทุกข์เกิดขึ้นตอนไหนบ้าง  และคิดว่าสัตว์น่าจะมีความทุกข์ในตอนที่มีความรู้ว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย  ตอนหิวหาอาหารไม่ได้  นกกินหนอนโดยไม่รู้สึกว่าบาปหรือกำลังเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น   แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็แล้วแต่  สุดท้ายเมื่อเวลาร่วงโรยไปผมก็รู้สึกได้ว่าใจของตนเองนั้นกลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ทุกข์และไม่สุขได้แล้ว   หมายความว่าผมน่าจะปรับสมดุลของใจได้แล้ว
         ผมยังคงเดินต่อไปและดูใจของตนเองต่อไป  แต่แล้วความรู้สึกแปลก ๆ ก็เกิดขึ้นเมื่อผมต้องเดินผ่านคุณลุงท่านหนึ่งที่แต่งตัวภูมิฐานมาก  กำลังกวาดใบไม้ตรงบริเวณทางที่ผมเดิน  ความจริงในช่วงท้าย ๆ ของการเดินผมก็ได้ยินเสียงกวาดใบไม้ดังแทรกเสียงนกเสียงกาดังมาจากหลาย ๆ ทิศทางเนื่องจากเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว  มีคนหลายคนกวาดใบไม้    แต่ความรู้สึกที่ว่าแปลกนี้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อผมเดินผ่านคุณลุงท่านนี้ซึีงผมเห็นท่านกวาดพื้นอยู่ใกล ๆ มาได้สักพักหนึ่งแล้ว  ความรู้สึกนั้นก็คือรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าและเห็นแก่ตัว
        นี่คงจะเป็นคำตอบของผมว่าทำไมเราจึงควรทำนุบำรุงวิถีแห่งพุทธ.........


                                                                                                                   ราเมศร์  เรืองอยู่     
                                                                                                                         9 มี.ค. 56