วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรง  การเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้น


           เหตุการณ์พายุนากิสพัดถล่มประเทศเมียนมาร์เมื่อหลายปีก่อน ส่งผลให้เกิดความเสียหายมากมาย แต่จากการรายงานข่าวก็จะเห็นได้ว่า เหตุการณ์ร้ายนั้นก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างตามมา  โดยเฉพาะการพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศ  ทำให้ผมได้ข้อคิดว่า หลังเกิดเหตุการร้าย ๆ จะส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ดีๆ ตามมาให้เราได้เห็นเสมอไม่มากก็น้อย ซึ่งเกิดจากการจัดสมดุลของผลกระทบ


          เหตุการณ์ร้ายได้เกิดขึ้นกับผมเช่นกัน  เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2563 ผมประสบอุบัติเหตุขณะขี่รถจักรยานแม่บ้านซื้อกับข้าวข้ามถนนแล้วโดนมอเตอร์ไซด์ชน ทำให้ผมสลบกลางอากาศไปฟื้นรู้สึกตัวที่โรงพยาบาล  ที่บอกว่าสลบกลางอากาศเพราะมีคนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าเห็นผมกระเด็นตัวลอยเลย และผมก็ไม่รู้เลยว่าโดนชนตอนไหนอย่างไร  เพราะการรับรู้มันดับหายไปตั้งแต่ตอนอยู่บนรถจักรยานเลย   ผมฟื้นตอนที่ตัวเองนอนอยู่บนแปลเข็นคนป่วย แล้วผมมองเห็นหลอดไฟส่องสว่างบนเพดานที่เลื่อนผ่านไปทีละดวงเหมือนฉากในภาพยนต์เลย  มีคนเรียกและถามว่าผมชื่ออะไร  ผมตอบเขาไปพร้อมกับรู้ตัวแล้วว่าต้องเกิดเหตุร้ายขึ้นกับผมแน่ ๆ หลังจากนั้นผมก็จำไม่ได้เลยว่าตอนอยู่ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเขาทำอะไรให้ผมบ้าง แต่จำได้ว่าภรรยา ลูกสาว เพื่อนร่่วมงาน และหลาน เข้ามาหา


          ผลจากอุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้ผมมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง  กระดูกโหนกแก้มและกรามขวาหัก  บาดแผลถลอกตามแขนขาและลำตัว  หน้าตาบวม  และมองเห็นภาพซ้อน   เหตุการณ์นี้ได้เปลี่ยนกิจกรรมการดำเนินชีวิตของผมอย่างมากมาย เปลี่ยนบทบาทจากผู้ให้บริการด้านสุขภาพในฐานะนักกิจกรรมบำบัดมาอยู่ในบทบาทของผู้รับบริการ  เปลี่ยนบทบาทในการเป็นผู้ดูแลคนในครอบครัวเป็นให้คนในครอบครัวคอยดูแล   เปลี่ยนบทบาทเป็นที่ปรึกษาแก่่น้อง ๆ ในที่ทำงานเป็นผู้ที่ต้องพักงาน   อ่ย่างที่ผมได้บอกว่าเมื่อเกิดเรื่องร้ายๆ จะเกิดการจัดสมดุลให้เกิดเรื่องดีตามมาด้วย  ผมจะเล่าให้ฟังว่ามีอะไรเกิดขึ้นตามมาบ้าง
         อย่างแรกอุบัติเหตุทำให้ผมเห็นความจริงว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน   เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา  สิ่งที่ทำได้คือ  ยอมรับความจริง  อยู่กับปัจจุบัน  ให้อภัย  และปล่อยวาง
        อย่างที่สอง เกิดผลกระทบกับสิ่งรอบตัว มีร้ายมีดี มีลบมีบวก  คือ
            กระทบคนในครอบครัว : ภรรยาผมต้องดูแลตนเองในการเดินทางไปทำงานนั่งวินมอเตอร์ไซด์ใช้รถโดยสารสาธารณะเพราะผมไปรับไปส่งไม่ได้ คอยดูแล ทำงานบ้าน ปรับตัวสู้ไปด้วยกัน ลูกสาวต้องมาคอยดูแลเฝ้าไข้ โชคดีที่เป็นช่วงปิดเทอม  เขาทำได้ดีโดยไม่ต้องสอน เขาได้รับการถ่ายทอด ซึมซับจากการปฏิบัติของเรา เมื่อถึงเวลาเขาดึงมาใช้ได้เลย  ญาติ เพื่อนร่วมงาน คนรู้จัก ที่มาเยี่ยมไข้ ทำให้เราเห็นน้ำใจ เห็นความห่วงใย และความผูกพันธ์ที่มีต่อกัน  ซึ่งเป็นความทราบซึ้งใจที่แปรเปลี่ยนเป็นกำลังใจให้แก่ผมเป็นอย่างดี  รวมถึงพ่อแม่ที่คอยภาวนาทุกวันให้เราหายเร็ว ๆ
           กระทบคนในที่ทำงาน :  ก่อนเกิดอุบัติเหตุผมเป็นที่ปรึกษาให้หัวหน้างานในฐานะที่เคยทำหน้าที่นี้มาก่อน  ในเวลาใกล้ ๆ กันน้องที่ทำหน้าที่หัวหน้างานก็เกิดเจ็บป่วยต้องเข้านอนโรงพยาบาลเหมือนกัน เมื่อขาดผู้นำน้อง ๆ ที่ทำงานอยู่ก็แสดงศักยภาพให้เห็น โดยมีคำชมจากเพื่อนร่วมงานที่ส่งมาทางไลน์   ผู้บังคับบัญชาก็มีเมตตาให้การช่วยเหลืออำนวยความสะดวกในการเข้าพักรักษาตัว เพื่อนเจ้าหน้าที่ต้องทำหน้าที่ดูแลระหว่างพักรักษาตัว  เพื่อนร่วมงาน หัวหน้าของภรรยา ให้การช่วยเหลือในการหยุดงานมาดูแล
          กระทบกับคนรอบข้าง : จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ส่งผลให้คนรอบข้างได้แสดงน้ำใจ ให้การช่วยเหลือ เยี่ยมไข้ ทักทายส่งความปรารถนาดี

ข้อคิดที่ได้ : เห็นศักยภาพของคนในรอบครัว คนในที่ทำงาน และน้ำใจของคนรอบข้าง


1.                  อย่างที่สามคือพลังในการฟื้นฟูตนเอง   ผมได้พลังและใช้วิธีจากสิ่งเหล่านี้คือ ผมได้กำลังใจจากคนรอบตัว ครอบครัว ที่ทำงาน และตัวเอง  ในหลายรูปแบบ เช่น คำพูดของหมอและเจ้าหน้าที่ที่มาให้บริการ  ตัวอย่างคำพูดเช่น  "หน้าตาดูสดใสขึ้นนะ" "ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็ดีขึ้น"  "หล่อเหมือนเดิมแล้ว"  "โชคดีนะที่ไม่เป็นอะไรมากกว่านี้"    ผมยังได้กำลังใจจากเพื่อนและพี่น้องที่มาเยี่ยม จากท่าท่าง ความจริงใจที่สัมผัสได้   ผมหาแรงเสริมทางบวกจากโลกโซเชี่ยล  จากโพสข้อคิดดี ๆ ที่ชึ้นมาบนเฟสบุ๊ค จากไลน์กลุ่มครอบครัวที่พูดคุยกามไถ่อาการกันด้วยความห่วงใย  จากเพจคิดบวก และฟังธรรมมะจากพระอาจารย์ในยูทูป

     ข้อคิดที่ได้ : มีสติ  คิดบวก  ตั้งเป้าหมายให้ตนเอง ให้กำลังใจผู้อื่น ฝึกสมาธิ อยู่กับปัจจุบัน ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่มะโนเกินจริง 

2.            อย่างที่สี่ที่เกิดหลังเหตุร้ายคือที่สิ่งที่ได้เห็น ได้สัมผ้สและรับรู้ จากการที่ตัวเราต้องเข้าไปอยู่ในฐานะผู้รับบริการและอยู่ในพื้นที่ให้บริการขณะเข้ารับการรักษาตัว  ผมเห็นการทำงานอย่างมืออาชีพและการทำงานแค่ให้มีอาชีพ  เห็นคนรุ่นใหม่ที่ทำงานคล่องแคล่ว ใช้ภาษาที่เป็นทางการในขณะให้บริการ ปฏิบัติตามแนวทางที่วางไว้  ในขณะเดียวกันก็เห็นคนรุ่นเก่าที่ทำงานโดยใช้ประสบการณ์หรือความชำนาญที่สะสมมา มีความยืดหยุ่น  บางคนใช้ภาษาบ้าน ๆ ในการสื่อสารแต่ก็ดูจริงใจ

-             ผมได้เห็นความสัมพันธ์กันของสถานที่กับพฤติกรรมบริการว่าถ้าสถานที่ให้บริการมีความใหม่และโอ่โถงดูทันสมัย  แต่ผู้ให้บริการยังไม่ปรับพฤติกรรมบริการให้มีเซอวิสมายด์  มีมาตรฐานการให้บริการ ไม่ปรับชุดฟอร์มให้ดูทันสมัย ไม่ปรับการพูดจาเป็นภาษาทางการ  มันจะดูขัดแย้งและไม่ไปด้วยกันของสถานที่ให้บริการนั้น ๆ

              ส่วนตัวผมเองก็มีความเข้าใจความคิดความรู้สึกของผู้รับบริการหรือผู้ป่วยมากขึ้น  มันเป็นการรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองว่าการอยู่ในสภาพที่ต้องพึ่งพา สูญเสียความสามารถบางอย่าง ต้องนั่งบนรถเข็นแล้วเงยหน้าพูดคุยกับคนที่ยืนอยู่  ส่งผลต่อความมั่นใจ ความภาคภูมิใจในตนเองเป็นอย่างมาก  

              ผ่านไปสองปีนับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุ ผมยังต้องทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตให้เป็นปกติในรูปแบบใหม่  ผลจากการมองเห็นภาพซ้อนทำให้ผมทำอะไรได้ไม่ถนัด การเคลื่อนไหวหยิบจับอะไรก็ต้องระมัดระวัง การเดินก็เกิดอาการตัวเกร็งแข็งเพราะกลัวสะดุดล้ม  แต่ผมก็พยายามทำทุกอย่างที่เคยทำได้ให้มากที่สุด อาการมองเห็นภาพซ้อนดีขึ้นมาระดับหนึ่งและเริ่มที่จะคงที่ไม่ดีขึ้น  มีแผนที่จะต้องผ่าตัดกล้ามเนื้อตาในอนาคตเพื่อลดการเห็นภาพซ้อน    ตอนนี้ผมอยู่กับความสามารถจริงในปัจจุบัน  ยอมรับมัน รู้เท่าทันไม่ฝืนตัวเอง

                  ข้อคิดที่ได้ : คนรุ่นใหม่ควรทำความเข้าใจนรุ่นเก่า คนรุ่นเก่าควรปรับให้เข้ากับปัจจุบัน อัปเดทให้รู้เท่าทัน