วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

คู่มือการเลือกรถเข็นและเบาะรองนั่งที่เหมาะสมสำหรับผู้พิการ

   

                                                 คำนำ
                  ปัจจุบันผู้ป่วยหรือผู้พิการมีความสะดวกมากขึ้นในการที่จะเดินทางไปในที่ต่าง ๆ โดยใช้รถเข็นเป็นพาหนะ  ประกอบกับการออกพระราชบัญญัติเกี่ยวกับอาคารสถานที่  ที่กำหนดให้ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการหรือผู้ที่ต้องใช้รถเข็น  เช่น  ต้องมีทางลาด  หรือ ลิฟท์ เพื่อให้สามารถเข็นรถเข็นขึ้นอาคารแทนบันได  มีห้องน้ำที่ติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวกและเพื่อความปลอดภัย  โดยมีการกำหนดมาตรฐานในเรื่องรูปแบบ ขนาด  ความสูง  ของอุปกรณ์สุขภัณฑ์  กำหนดความกว้างของพื้นที่เพื่อให้สามารถกลับรถเข็นได้   ติดตั้งราวเกาะ  ใช้ประตูชนิดบานเลื่อน   จัดทำที่จอดรถโดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้รถเข็น   การปรับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ส่งผลให้ผู้ที่ใช้รถเข็นสามารถออกสู่สังคมได้มากขึ้น  สามารถทำกิจกรรมดำเนินชีวิตที่เป็นอิสระได้มากขึ้น    พึ่งพาตนเองได้มากขึ้น           ฉะนั้นคู่มือเล่มนี้น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องใช้รถเข็น  และต้องการเลือกใช้รถเข็นให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วย  ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้การใช้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น  และคงความสามารถในการที่จะทำกิจกรรมในการดำเนินชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไปมากที่สุด                                                   
                                                                                                                       ราเมศร์  เรืองอยู่
                                                                                                                           ผู้จัดทำคู่มือ

                                                                                                                                                         
                                                                   บทนำ
              หากเราพูดถึงการใช้รถเข็นนั้นจะเห็นว่ามีการใช้กันในหลายกลุ่ม  เช่นในกลุ่มเด็ก  มีการใช้ในเด็กปกติที่ยังไม่ถึงวัยที่จะเดินได้อย่างแข็งแรง  ก็จะมีการใช้รถเข็นเด็กเพื่อความสะดวกและผ่อนแรงแทนการอุ้มสำหรับพ่อแม่หรือผู้ดูแล  ซึ่งรถเข็นเด็กนี้จะมีรูปแบบแตกต่างกันไป  แต่หากเป็นเด็กพิเศษหรือเด็กพิการที่มีปัญหาด้านการเดินก็ต้องใช้รถเข็นอีกแบบหนึ่งที่มีขนาดและรูปร่างที่เหมาะสมกับเด็ก  แต่ถ้าเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ก็จะมีการใช้รถเข็นในผู้ที่มีปัญหาด้านการเดิน  คือไม่สามารถเดินได้จากการเกิดพยาธิสภาพที่ใดที่หนึ่งของร่างกายจนเป็นเหตุให้เดินไม่ได้ เช่น   เกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ  เกิดกระดูกหักจนไม่สามารถยืนลงน้ำหนักได้  เป็นต้น    จากการที่มีเหตุให้ต้องใช้รถเข็น  ทำให้คนนั้น ๆ มีการใช้ในสองลักษณะคือ  การใช้แบบชั่วคราว   เช่น เกิดอุบัติเหตุกระดูกขาหักสองข้างก็ต้องใช้รถเข็นจนกว่ากระดูกจะติดดี  และการใช้แบบตลอดไป   เช่นในกลุ่มผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง  แล้วเส้นประสาทถูกทำลายจนไม่สามารถเดินได้หรือเกิดความพิการถาวรต้องใช้ชีวิตโดยมีรถเข็นเป็นอุปกรณ์หลักในการเคลื่อนที่ไปตามที่ต่าง ๆ   ด้วยรูปแบบของการใช้ที่ต่างกันนี่เองก็เป็นเหตุปัจจัยหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกชนิดของรถเข็นซึ่งจะขอกล่าวถึงในบทต่อไป


                                                                                                                                                      
ประเภทของรถเข็น 
           รถเข็นมีกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ  และมีวิวัฒนาการกันมาเรื่อย ๆ  ทั้งด้านรูปร่างหน้าตา  วัสดุที่ใช้  และกลไกต่าง ๆ     รถเข็นผู้ป่วยที่เราใช้กันอยู่ปัจจุบันนี้มีมากมายหลายชนิดด้วยกัน  การแบ่งประเภทขอรถเข็นผู้ป่วยจึงขึ้นอยู่กับว่าเราใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง    แต่โดยทั่วไปก็จะแบ่งเป็น รถเข็นแบบมือหมุนล้อหรือใช้แรงคนเข็น   กับ รถเข็นแบบใช้ระบบไฟฟ้าในการขับเคลื่อน  รถเข็นแบบใช้มือหมุนก็ยังแบ่งได้อีกหลายรูปแบบเช่นกัน  ซึ่งขึ้นกับว่าจะใช้ลักษณะใดเป็นเกณฑ์  เช่นใช้ลักษณะของการใช้งาน  ก็จะเป็นแบบมาตรฐานทั่วไปสำหรับใช้ในบ้านหรือในอาคาร  แบบสำหรับออกไปใช้กลางแจ้ง  และแบบสำหรับใช้เดินทาง  และในแต่ละแบบก็จะมีรายละเอียดและคุณลักษณะปลีกย่อยแตกต่างกันออกไป  เช่นวัสดุที่ใช้ทำโครงสร้างก็ทำให้มีความหนักเบาไม่เท่ากัน   การใช้ยางล้อแบบสูบลมหรือเป็นยางตัน ความสามารถในการปรับองค์ประกอบ เช่น สามารถปรับเอนนอนได้  สามารถถอดที่วางแขนได้   สิ่งเหล่านี้ทำให้ปัจจุบันมีรถเข็นผู้ป่วยที่หลากหลายให้เราได้เลือกใช้  และคงต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เพื่อให้ได้รถเข็นที่เหมาะสมที่สุดกับผู้ใช้                            

                                                                                                                                                      
    ส่วนประกอบหลักของรถเข็นก็จะประกอบด้วย เบาะนั่ง  พนักพิง  ที่วางแขน  ที่วางเท้า  ล้อหน้า  ล้อหลัง  ระบบห้ามล้อซึ่งในแต่ละส่วนประกอบของรถเข็นแต่ละรุ่นหรือแต่ละประเภทนั้นก็จะมีความแตกต่างกันไปในเรื่องของ รูปแบบ วัสดุที่ใช้ ขนาด น้ำหนัก   เนื่องจากรถเข็นสามารถแบ่งได้หลากหลายประเภทในที่นี้จึงขอกล่าวถึง 3 ชนิดหลัก ๆ ด้วยกันได้แก่

1. รถเข็นผู้ป่วยแบบมือหมุนล้อ (Manual wheelchair หรือ self-propelled wheelchair

   เป็นรถเข็นแบบดั้งเดิม จะมีลักษณะล้อหลังใหญ่ มีวงล้อโลหะซ้อนด้านนอก (Handrims) ทั้ง 2 ด้าน สำหรับให้ผู้ป่วยหรือผู้พิการใช้บังคับทิศทางและการเคลื่อนที่ด้วยตนเอง  หรือเป็นรถเข็นที่มีคันบังคับอยู่ด้านหลัง โดยผู้ดูแลเป็นผู้เข็น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวมือหรือเท้าได้ ปัจจุบันนิยมเป็นแบบผสม คือ เป็นรถเข็นผู้ป่วยที่มีทั้งคันบังคับด้านหลังและ Handrims จึงเป็นแบบเอนกประสงค์เพื่อความสะดวกในรถเข็นคันเดียว

Handrims
                                             

                                                                                                                                                     

    
      เป็นรถเข็นที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อน  และมีชุดอุปกรณ์สำหรับเปิด/ปิดระบบพลังงาน และควบคุมรถให้เดินหน้า ถอยหลัง เลี้ยวซ้าย – ขวา  เหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดของการเคลื่อนไหวของแขนและมือ แต่มีข้อเสียคือน้ำหนักรถค่อนข้างมาก ทำให้การขนย้ายไม่สะดวก

                                                                                                                                                       
  3. รถเข็นผู้ป่วยดัดแปลง/รถเข็นผู้ป่วยชนิดพิเศษ (Other wheelchair variants) เช่น รถเข็นที่มีระบบไฮดรอลิคสามารถปรับให้อยู่ในท่ายืนได้

  
                                                                                                                                                 
   คุณลักษณะของส่วนประกอบพื้นฐานของรถเข็น
ล้อของรถเข็นผู้ป่วย     ล้อรถเข็นแบบมือหมุนหรือรถเข็นไฟฟ้า จะมี 2 ประเภท คือ แบบล้อยางตัน กับ แบบล้อสูบลม ทั้ง 2 แบบมีข้อดีและข้อด้อย และขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานคือ
       1. ล้อรถเข็นผู้ป่วยแบบยางสูบลม  ข้อดีคือให้ความนุ่มนวลสำหรับผู้ใช้ สามารถเคลื่อนที่ได้ในพื้นที่ทั่วไป ไม่จำเป็นว่าพื้นต้องเรียบนัก ฉะนั้น รถเข็นผู้ป่วยแบบสำหรับไปข้างนอกบ้านหรือกลางแจ้ง(Outdoor)    รถเข็นผู้ป่วยแบบพกพาหรือรถเข็นไฟฟ้า จึงนิยมใช้ล้อแบบนี้ แต่มีข้อด้อยที่ ต้องมีการสูบเพื่อเติมลมและอาจเกิดการรั่วได้                    
               


      2. ล้อรถเข็นผู้ป่วยแบบยางตัน   ข้อดีคือ มีความทนทาน ไม่มีปัญหาเรื่องลมยาง แต่มีข้อด้อยที่สำคัญคือ ใช้ได้เฉพาะบริเวณพื้นผิวเรียบไม่เช่นนั้นจะสะเทือนมาก จึงไม่เหมาะกับการใช้ในพื้นที่นอกอาคาร
 

เบาะนั่งและพนักพิง
           เบาะนั่งของรถเข็นส่วนใหญ่จะเป็นวัสดุชนิดเดียวกันกับส่วนที่เป็นพนักพิง  ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นวัสดุที่ทำจากผ้า  และ ทำจากหนังเทียมหรือไวนิล   วัสดุที่ทำจากผ้ามีข้อเสียคือเปียกน้ำและทำความสะอาดยากแต่จะให้
                                     ความรู้สึกสัมผัสที่สบาย   ส่วนเบาะหนังเทียมจะไม่ชุ่มน้ำและทำความสะอาดง่าย  แต่จะไม่ช่วยระบายอากาศขณะนั่ง   ส่วนความกว้างของเบาะนั่งนั้นจะขึ้นอยู่กับขนาดและรุ่นของรถเข็นแต่ละชนิด
                     

     ระบบห้ามล้อ
       รถเข็นแต่ละรุ่นหรือยี่ห้อจะมีรูปแบบของระบบห้ามล้อที่แตกต่างกันไป   แต่ส่วนใหญ่จะใช้หลักการเดียวกันคือทำให้เกิดแรงเสียดทานเกิดขึ้นกับล้อหลังของรถเข็น  บางรุ่นมีระบบห้ามล้ออยู่ที่มือจับเข็นรถอีกจุดหนึ่งด้วย

การเลือกรถเข็น
              ในการเลือกรถเข็นให้เหมาะสมนั้นมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงหลายอย่างด้วยกัน  ซึ่งเราคงไม่สามารถเลือกหรือตัดสินใจโดยใช้เกณฑ์ตัวใดตัวหนึ่งได้  คงต้องพิจารณาจากหลาย ๆ ปัจจัยประกอบกัน  ผู้เขียนจึงขอกล่าวถึงหลักในการเลือกโดยยึดตามกรอบที่ใช้พิจารณาแบ่งเป็น
1.       การเลือกตามคุณลักษณะของรถเข็น
2.       การเลือกตามระดับความสามารถในการเคลื่อนไหวของผู้ป่วย
3.       การเลือกตามระดับของพยาธิสภาพในผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลัง
4.       การเลือกตามประโยชน์ใช้สอย
5.       การจัดรถเข็นตามสิทธิในการได้รับรถนั่งคนพิการ


การเลือกตามคุณลักษณะของรถเข็น

คุณลักษณะบางอย่างที่จะต้องพิจารณา:
         
         1. น้ำหนักของรถเข็น         รถเข็นแต่ละรุ่นหรือแต่ละยี่ห้อจะมีน้ำหนักที่ต่างกันไปตามวัสดุที่นำมาใช้ในการทำส่วนประกอบ   รถเข็นที่มีโครงสร้างที่ทำด้วยเหล็ก  และสแตนเลส จะมีน้ำหนักมาก   ปัจจุบันมีการพัฒนามาใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาและแข็งแรงมากขึ้น เช่น ใช้อลูมิเนียมอัลลอยด์  ผู้ผลิตบางรายใช้ไททาเนียม  ทำให้ผู้ใช้มีความสะดวกสบายมากขึ้นในการเข็น  เพราะรถเข็นที่น้ำหนักเบาจะเข็นและควบคุมได้ง่ายกว่า  และการจัดเก็บก็ง่าย สามารถพับเก็บและยกขึ้นรถได้อย่างสบาย  ผู้ผลิตบางรายก็ใช้วัสดุผสมกันเช่นเหล็กผสมอลูมิเนียม   ในการเลือกใช้วัสดุของผู้ผลิตน่าจะขึ้นกับการกำหนดต้นทุนการผลิต  และวัตถุประสงค์ในการใช้งาน   
                                       
            2. ลักษณะการใช้งานสำหรับกลางแจ้ง / ที่ร่ม        ในการเลือกรถคงต้องดูด้วยว่าเราจะนำมาใช้งานในลักษณะใด   เช่นใช้สำหรับเคลื่อนตัวจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งในบ้าน เช่น จากเตียงไปที่ห้องน้ำ  ไปที่โต๊ะกินข้าว  หรือไปที่ห้องนั่งเล่น  ก็น่าจะเป็นรถเข็นแบบธรรมดาทั่วไป  แต่ถ้าต้องออกไปข้างนอก หรือไปกลางแจ้ง  ก็คงต้องเลือกรถเข็นในแบบที่มีความคล่องตัวสูง และแข็งแรงอย่างมาก

          3.  ความจุน้ำหนัก    ความสามารถในการรับน้ำหนักของรถเข็นมักจะสัมพันธ์กับความแข็งแรงของวัสดุที่ใช้เป็นโครงสร้างหลัก  หากใช้วัสดุที่แข็งแรงก็จะสามารถรับน้ำหนักได้มาก  รถเข็นโดยทั่วไปจะสามารถรับน้ำหนักได้ไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยกิโลกรัม   ส่วนขนาดของรถเข็นโดยทั่วไปก็จะแบ่งเป็นรุ่นที่มีความกะทัดรัด   ซึ่งเหมาะสำหรับการเดินทางที่ต้องมีการพับจัดเก็บ    กับรุ่นที่มีขนาดตามมาตรฐานทั่วไป
 
             
4.  ความสามารถที่จะพับเก็บได้   รถเข็นประเภทรุ่นมาตรฐานทั่วไปส่วนใหญ่จะสามารถพับลำตัวเก็บได้หากไม่ใช้งานทำให้ไม่เปลืองเนื้อที่ในการจอดเก็บ  และมีความสะดวกสำหรับการเดินทาง เช่น การจัดเก็บไว้ด้านหลังรถยนต์เก๋ง   แต่รถบางรุ่นไม่สามารถพับได้   เช่น  รถที่มีเบาะนั่งเป็นสแตนเลส หรืออลูมิเนียม  และ รถที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า
        5.  แหล่งพลังงานของรถเข็นคนพิการไฟฟ้า         รถเข็นชนิดที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า  หากแรงส่งขับเคลื่อนอยู่ที่ล้อคู่หลังจะขับเคลื่อนได้เร็วกว่าชนิดแรงขับอยู่ที่ล้อคู่หน้า

                                                                                        
       6. การปรับเอนนอน   รถเข็นบางรุ่นสามารถปรับเอนนอนได้ด้วยการพับพนักพิงเอนไปด้านหลัง ซึ่งควบคุมด้วยระบบไฮดรอลิค หรือกลไกอื่น  ซึ่งเหมากับผู้ป่วยที่จำเป็นจะต้องมีการปรับนอนในบางช่วง   เช่น  ผู้ป่วยที่ยังไม่สามารถปรับระดับความดันการไหลเวียนของเลือดได้ทำให้มีอาการหน้ามืดหรือเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่พอในท่านั่งตัวตรง  หรือผู้ป่วยที่ต้องการลดแรงกดบริเวณก้นกบในขณะอยู่ในท่านั่งนาน ๆ   

       7. การถอดที่พักแขนได้   รถเข็นทั่วไปจะมีแบบที่สามารถถอดที่พักแขนที่อยู่ด้านข้างออกได้ กับ แบบที่ไม่สามารถถอดที่พักแขนได้  ในการเลือกต้องดูที่ความสามารถของผู้ใช้ว่าในขณะเคลื่อนย้ายตัวจากที่หนึ่งมายังรถเข็นหรือย้ายตัวจากรถเข็นไปยังอีกที่หนึ่งนั้น ใช้วิธีการใดในการเคลื่อนย้ายตัว  หากสามารถลุกจากรถเข็นยืนตรงแล้วหมุนตัวลงไปนั่งอีกที่หนึ่งได้  ก็ไม่จำเป็นต้องถอดที่พักแขนออกและที่พักแขนยังเป็นประโยชน์ในการเป็นที่ยึดของมือในขณะเคลื่อนย้ายตัวได้อีกด้วย  แต่หากผู้ใช้ไม่สามารถยืนได้จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายตัวในลักษณะขยับสไลด์ตัวไปอีกที่หนึ่งทางด้านข้างของรถเข็น  ที่พักแขนก็จะกลายเป็นสิ่งกีดขวางที่เราต้องเอาออกก่อนการเคลื่อนย้ายตัว  จึงควรเลือกแบบถอดข้างได้

          8. ที่วางเท้าสามารถปรับระดับสูงต่ำได้หรือไม่   ระดับของที่วางเท้าที่สูงต่ำมีผลต่อท่าทางของขาทั้งสองข้างของผู้นั่งบนรถเข็น  หากสูงเกินจะทำให้เข่าชัน  เกิดความไม่มั่นคงของการทรงตัวและเกิดการบิดของข้อสะโพก  รถในบางรุ่นจึงผลิตมาให้สามารถปรับระดับความสูงต่ำของที่วางเท้าได้                                         
             10.  ความกว้างและความลึกของที่นั่ง    ความกว้างและความลึกของที่นั่งจะมีผลต่อการทรงตัวในกรณีที่การทรงตัวของผู้นั่งยังไม่ดี  หากกว้างเกินไปจะทำให้ตัวเอียง  ในการเลือกรถเข็นควรดูความกว้างที่พอดีกับขนาดลำตัวของผู้นั่งโดยวัดความกว้างของสะโพกขณะนั่ง         9. สามารถเอาที่วางเท้าหันออกไปได้หรือไม่และรูปแบบเป็นอย่างไร     รถบางรุ่นสามารถที่จะปลดล็อกแล้วหันที่วางเท้าออกไปด้านนอกตัวรถได้  และบางรุ่นยังสามารถถอดที่วางเท้าออกจากตัวรถได้ด้วย  ซึ่งเป็นประโยชน์ในกรณีที่ไม่ต้องการให้เกิดการกีดขวางในขณะที่เราเอารถไปจอดเทียบกับที่ที่ผู้จะนั่งเคลื่อนย้ายตัวไป  หรือไม่กีดขวางเท้าของผู้นั่งขณะทำการเคลื่อนย้ายตัว
       11.  คุณสมบัติของวัสดุที่ใช้เป็นส่วนประกอบ   เช่น    เช่น   เบาะนั่งและพนักพิงทำจากผ้าจะมีความนุ่มในการสัมผัส แต่ทำความสะอาดยาก  แต่ถ้าเป็นหนังเทียมหรือไวนิลจะทำความสะอาดได้ง่ายกว่า
       12. ระบบโครงสร้างและจุดสมดุล     รถเข็นแต่ละรุ่นจะมีรูปแบบของโครงสร้างที่ต่างกันไป  ถ้าแกนล้อหลังอยู่ค่อนมาทางด้านหน้าก็จะสามารถยกล้อหน้าได้ง่าย  แต่ถ้าล้อหลังค่อนมาทางด้านหลังก็จะยกล้อหน้าได้ยาก  ซึ่งการยกล้อหน้าจะใช้เวลาที่ต้องมีการเข็นรถเข็นข้ามสิ่งกีดขวาง เช่น ธรณีประตู   ซึ่งรถเข็นบางรุ่นสามารถปรับแนวแกนล้อหลังได้แต่บางรุ่นก็ปรับไม่ได้
        13.  ขนาดของล้อ    ขนาดของล้อหลังถ้าเป็นล้อขนาดเล็กซึ่งจะมีอยู่ในรถเข็นบางรุ่น เช่น รุ่นท่องเที่ยว   จะไม่มีส่วนสำหรับใช้มือหมุน ( Hand  Rim)  ซึ่งผู้นั่งจะไม่สามารถเข็นได้เอง   ส่วนรถเข็นที่มีล้อหลังขนาดใหญ่ส่วนมากจะมีส่วนสำหรับเข็นรถ (Hand Rim) อยู่แล้ว  ส่วนขนาดของล้อหน้าของรถเข็นแต่ละรุ่นก็จะไม่เท่ากัน  ล้อหน้าเล็กจะทำให้เลี้ยวง่ายแต่จะตกหลุมบ่อหรือร่องง่าย  แต่ถ้าเป็นล้อใหญ่จะเข็นผ่านทางขรุขระง่ายแต่เลี้ยวยาก   

                                                                                                                                                        
    14.  การรับประกัน    การเลือกรถเข็นที่มีการรับประกันหลังการขายจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในเรื่องของคุณภาพและการแก้ปัญหาในการใช้งาน  ระยะเวลารับประกันที่นานมากขึ้นอาจจะช่วยให้เรามั่นใจมากขึ้นในเรื่องของคุณภาพรถเข็น
       15. ค่าใช้จ่าย  ราคารถเข็นแต่ละรุ่นหรือยี่ห้อก็มีราคาที่แตกต่างกันไปตามคุณภาพและความซับซ้อนของรถเข็น   รถที่มีรูปแบบการทำงานเหมือนกันแต่ใช้วัสดุที่ต่างกันราคาก็จะต่างกัน  เช่นรถเข็นที่โครงสร้างทำด้วยอัลลอยด์ก็จะมีราคาสูงกว่ารถเข็นที่มีโครงสร้างเหล็กเกือบเท่าตัว  แต่ก็เพิ่มความสะดวกในการใช้งานเพราะมีน้ำหนักเบา  แข็งแรงทนทาน  ไม่เป็นสนิม


การเลือกตามระดับความสามารถในการเคลื่อนไหวของผู้ป่วย
              ต้องคำนึงถึงผู้ใช้เป็นหลักว่ามีความสามารถในการเคลื่อนไหวระดับใด  เช่น  กำลังของกล้ามเนื้อแขนและมือมีมากแค่ไหน  อ่อนแรงสองข้างหรือข้างเดียว  กำลังของกล้ามเนื้อลำตัวที่ใช้ในการทรงตัว  ในที่นี้จะขอแบ่งกลุ่มผู้ใช้ออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 
   1. ผู้ที่เป็นอัมพาตครึ่งซีกหรือมีแรงแขนขาข้างเดียว  สามารถใช้รถเข็นรุ่นมาตรฐานทั่วไป ไม่จำเป็นต้องถอดข้างได้ หากสามารถยืนขณะเคลื่อนย้ายตัวได้
   2. ผู้ที่เป็นอัมพาตครึ่งท่อนล่าง  สามารถใช้รถเข็นรุ่นมาตรฐานทั่วไป และควรเป็นแบบที่ถอดข้างได้เพื่อความสะดวกในการเคลื่อนย้ายตัว หรือใช้รถเข็นแบบสำหรับนักกีฬา
  3. ผู้ที่อ่อนแรงแขนขาและลำตัว  ควรใช้รถเข็นที่สามารถปรับเอนนอนได้ มีระบบส่งกำลังที่ควบคุมด้วยไฟฟ้าหากไม่สามารถใช้มือเข็นรถได้
  4. ผู้ได้รับบาดเจ็บระบบโครงสร้างของกระดูกและกล้ามเนื้อ เช่น  ขาหัก กระดูกสะโพกหัก  สามารถใช้รถเข็นรุ่นมาตรฐานทั่วไปได้
                      
การเลือกตามระดับของพยาธิสภาพในผู้ป่วยบาดเจ็บไขสันหลัง
            ในกลุ่มผู้ป่วยรับบาดเจ็บไขสันหลังที่มีการทำลายของระบบประสาทสั่งการจนมีผลต่อความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ   ซึ่งจะมีผลมากน้อยขึ้นอยู่กับระดับการบาดเจ็บและความรุนแรงของพยาธิสภาพ  เช่น บาดเจ็บไขสันหลังระดับคอจะมีปัญหาในการควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแขนและมือลงไปถึงส่วนล่างของร่างกาย  โดยจะแบ่งระดับของพยาธิสภาพและความเหมาะสมของรถเข็นดังนี้    
     1.  บาดเจ็บไขสันหลังระดับคอที่ 1-4  (C1-C4):  ชนิดของรถเข็นที่เหมาะสม
-            รถเข็นที่สามารถปรับเอนนอนได้
-            รถเข็นแบบมีน้ำหนักเบา
-            รถเข็นที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่สามารถปรับนั่งหรือยืนได้
   โดยใช้คางหรือศีรษะของผู้ป่วยในการควบคุมปุ่มบังคับ


2.  บาดเจ็บไขสันหลังระดับคอที่ 5 (C5) :  ชนิดของรถเข็นที่เหมาะสม
-             รถเข็นแบบมีน้ำหนักเบาปรับเอนนอนได้
-             รถเข็นที่มีระบบส่งกำลังให้สามารถปรับยืนได้
-             รถเข็นแบบมีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า

 3.  บาดเจ็บไขสันหลังระดับคอที่ 6 7 ( C6-C7) :      ชนิดของรถเข็นที่เหมาะสม
-             รถเข็นแบบมีน้ำหนักเบาสามารถถอดปรับได้
-             รถเข็นแบบมีระบบส่งกำลังด้วยแขนและมือ
-             รถเข็นแบบสำหรับนักกีฬา


 4.  บาดเจ็บไขสันหลังระดับคอที่ 8 ถึงระดับอกที่ 1 ( C8T1) :    ชนิดของรถเข็นที่เหมาะสม
-             รถเข็นแบบมีระบบส่งกำลังด้วยแขนและมือ
-             รถเข็นแบบมีน้ำหนักเบาสามารถถอดปรับได้
-             รถเข็นแบบสำหรับนักกีฬา

     5บาดเจ็บไขสันหลังระดับอกที่ 1 ( T1) ลงมา :  ชนิดของรถเข็นที่เหมาะสม
    -       รถเข็นแบบมีระบบส่งกำลังด้วยแขนและมือ  น้ำหนักเบา ไม่  
             จำเป็นต้องปรับได้
    -      รถเข็นแบบสำหรับนักกีฬา

การเลือกตามประโยชน์ใช้สอย

         ในการเลือกรถเข็นเพื่อให้สอดคล้องกับประโยชน์ในการใช้สอย  มักจะสัมพันธ์กับระดับความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันของผู้ป่วย  เช่น  ผู้ที่มีความยากลำบากในการเคลื่อนย้ายตัวจากรถเข็นไปนั่งที่โถชักโครก  อาจต้องพิจารณาใช้รถเข็นที่ออกแบบที่รองนั่งที่เจาะรูสำหรับความสะดวกในการขับถ่ายเป็นต้น  ซึ่งรถเข็นแต่ละแบบก็จะมีความหลากหลายในรายละเอียดดังนี้
      - รถเข็นสำหรับนั่งขับถ่าย  จะมีการเจาะรูให้สามารถนั่งถ่ายบนรถเข็นได้เลย  แต่ก็จะแบ่งรุ่นที่มีถังรองรับอุจจาระในตัว  หรือบางรุ่นสามารถเข็นเข้าไปคร่อมบนโถชักโครกได้  แต่บางรุ่นก็จะมีข้อจำกัดคือไม่สามารถเข็นไปคร่อมบนโถชักโครกได้เพราะติดโครงสร้างของตัวรถด้านล่าง

                      
    - รถเข็นสำหรับใช้นั่งอาบน้ำ  ส่วนมากจะทำด้วยสแตนเลสกันสนิม  บางรุ่นเจาะรูบริเวณที่รองนั่งเพื่อความสะดวกในการขับถ่าย  แต่มีข้อจำกัดหรือข้อเสียคือบางรุ่นมีขนาดล้อเล็กทั้งสี่ล้อทำให้ผู้นั่งไม่สามารถเข็นเองได้  และมีขนาดน้ำหนักมาก 

การจัดรถเข็นตามสิทธิในการได้รับรถนั่งคนพิการ

        สำหรับผู้ป่วยหรือผู้รับบริการที่ใช้สิทธิในการขอเบิกรถเข็น เช่นสิทธิประกันสังคม  สิทธิของผู้พิการที่จดทะเบียนกับสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ  และสิทธิ์ข้าราชการหรือรัฐวิสาหกิจ  ก็จะมี่รายละเอียดที่แตกต่างกัน ท่านสามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากนักสังคมสงเคราะห์  แต่โดยรวมแล้วแพทย์จะเป็นผู้ออกใบรับรองและกำหนดรูปแบบของรถเข็นตามระดับความสามารถในการใช้งานของผู้ป่วยหรือผู้รับบริการ เช่น  รถเข็นรุ่นมาตรฐาน    หรือเป็นรถเข็นแบบที่สามารถปรับถอดข้างได้ เป็นต้น

                                       -------------------------------------------------------------------------------


                   เบาะรองนั่งสำหรับรถเข็น ( Wheelchair Cushion )
            เบาะรองนั่งถือเป็นอุปกรณ์ประกอบที่จำเป็นมากสำหรับผู้ป่วยหรือผู้พิการที่ใช้รถเข็นที่ไม่สามารถยกขยับตัวขณะนั่งรถเข็นได้เอง  เพราะการนั่งบนรถเข็นเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เกิดการกดทับบริเวณกระดูกก้นกบจนกลายเป็นแผลกดทับได้   นอกจากนี้เบาะรองนั่งยังช่วยในการปรับระดับความสูงต่ำของตำแหน่งการนั่งเพื่อความสมดุล   และทำให้เกิดความนุ่มสบายในขณะนั่ง   โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มีรูปร่างผอม    แผ่นรองที่ดีควรจะมีการรับน้ำหนักแล้วกระจายแรงกดได้ดี  มีความยืดหยุ่นสูง  
วัสดุที่นำมาใช้ทำเป็นส่วนของแผ่นรองก็มีความหลากหลาย  มีคุณสมบัติและราคาที่แตกต่างกันไป   เบาะรองนั่งใช้กันอยู่ในปัจจุบันสามารถแบ่งได้เป็น 6 ปะเภท ตามวัสดุที่ใช้ดังนี้

         1. เบาะฟองน้ำ (foam cushions)      ข้อดีคือมีราคาถูก  น้ำหนักเบา  มีระดับความหนาหลายขนาด  มีความหนาแน่นของเนื้อฟองน้ำแตกต่างกันไป  และสามารถตัดแต่งให้เข้ารูปตามต้องการได้   แต่กระจายแรงกดได้ไม่ดีนัก  
                      2.  เบาะลม  (air-filled cushion)     ข้อดีคือกระจายการรับแรงกดได้ดี  มีน้ำหนักเบา  แต่จะมีการรั่วซึมได้ง่ายหากวัสดุห่อหุ้มฉีกขาดเสียหาย  และราคาค่อนข้างสูง
                3.  เบาะยาง    (rubber cushions )    มีความทนทานแต่มีน้ำหนักมาก  การกระจายแรงกดไม่ค่อยดีนัก
         4.  เบาะเจล   (gel  cushions)  ข้อดีคือกระจายการรับแรงกดได้ดี     ทนทาน  ไม่มีปัญหาการรั่วซึม แต่มีน้ำหนักมากและ ราคาค่อนข้างสูง


              5เบาะแบบผสม   (Hybrids Cushions)  เป็นเบาะที่ออกแบบมาโดยเอาคุณสมบัติด้านการกระจายแรงกด และให้มีน้ำหนักเบา  เช่นผสมระหว่างลมกับเจล  หรือลมกับฟองน้ำ
  
              6เบาะน้ำ  (water flotation pad)  ข้อดีคือกระจายการรับแรงกดได้ดี    ราคาไม่แพง  แต่มีน้ำหนักมาก   มีปัญหาการรั่วซึมหากวัสดุห่อหุ้มฉีกขาดเสียหาย






บรรณานุกรม
1.     หลักสูตรอบรมการให้บริการรถนั่งคนพิการ: คู่มือประกอบการอบรม - ระดับพื้นฐาน © Sirindhorn National Medical Rehabilitation Centre 2014[อินเทอร์เน็ต]. 2556 [เข้าถึงเมื่อ 2560 พฤศจิกายน 18].เข้าถึงได้จากhttp://apps.who.int/iris/bitstream/10665/78236/60/9789241503471_reference_manual_tha.pdf?ua=1
2.    Lorraine Wiliams Pedretti, Barbara Zoltan. Occupational Therapy Practice Skills for Physical Dysfunction. 3 rd ed. Toronto: The C.V. Company; 1990
3.    Jack R. Ford, Bridget Duckworth. Physical Management for the Quadriplegic Patient. 2 ed. Philadelphia, Pennsylvania: F.A. Davis Company; 1987