วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เดินป่าเขาใหญ่



                                                                                 ย้อนรอยความทรงจำใน
                                                                                 บันทึกการเดินเท้า...จากนางรองสู่เขาใหญ่  
                                                                                 โดย...ราเมศร์  เรืองอยู่


เนื้อเพลง : เขาใหญ่
ศิลปิน : พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ

             กว่าจะเป็น ต้นไม้ยืนต้น
สูงหยัดยืน ใหญ่โตงดงาม
เนิ่นและนาน
ที่สั่งสม เป็นร่มเงา
ให้ดอกงาม
ยามที่คน นั้นต้องการ
.กว่าจะเป็น สายธารล้นหลาก
ไหลระเริง หล่อเลี้ยงผู้คน
เนิ่นและนาน
ที่ปลาน้อย ร้อยเส้นใย
ว่ายถักทอ
เป็นธารทอง ให้ผู้ ทุกข์ทน
.คือ เขาใหญ่ ถิ่นไพร พนา
ถิ่นสัตว์สา ร่าเริง
ล่องลอย มีเสรี
มีเกสร ร่อนความงดงาม
ตามความฝัน...
ขอผองเรา...จงร่วมกัน
ปกป้องฝัน
ปกป้องธาร บ้านพงไพร
..เป็นเขาใหญ่....ที่ยืนยาว
คือ เขาใหญ่ ถิ่นไพร พนา
ถิ่นสัตว์สา ร่าเริง
ล่องลอย มีเสรี
มีเกสร ร่อนความงดงาม
ตามความฝัน...
ขอผองเรา...จงร่วมกัน
ปกป้องฝัน
ปกป้องธาร บ้านพงไพร
..เป็นเขาใหญ่
                                                             

          
                                                                     1. สู่นางรอง
          ผมเคยแต่ได้ยินคำร่ำรือถึงความงดงามของป่าเขาใหญ่โดยที่ยังไม่เคยไปเห็นด้วยตาของตนเอง  ได้แต่คาดหวังว่าสักวันหนึ่งจะหาโอกาสไปเที่ยวให้ได้  แล้ววันหนึ่งฝันก็เป็นจริงเมื่อ คุณเล็ก เพื่อนร่วมงานได้มาชวนให้ไปเดินป่าด้วยกัน เพราะคุณเล็กต้องการให้มีผู้ชายเดินทางไปด้วยเพื่อความรู้สึกปลอดภัย  ผมก็เลยชวน โก๊ก ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกันไปด้วย เพราะเห็นว่ามีผู้ชายไปน้อย ในที่สุดเราก็ได้กลุ่มนักเดินป่า(แต่ขาดประสบการณ์)ได้สิบคน  โดยมีผู้ชายสี่คน ผู้หญิงหกคน  เมื่อรวมกลุ่มได้แล้วเราก็ติดต่อไปยังสำนักงานจังหวัดนครนายกเพื่อยืนยันการเดินทาง  และติดต่อว่าจ้างคนนำทางพร้อมลูกหาบ โดยมีกำหยดเดินป่าในวันที่ 11 - 13 กุมภาพันธ์ 2538   
         ตีสี่ครึ่งของวันที่ 11กุมภาพันธ์ คือเวลาที่เรานัดเจอกันที่สถานีขนส่งหมอชิต  ผมกับโก๊กคงจะตื่นเต้นกว่าใครเพื่อนเพราะแหกขี้ตาตื่นมาถึงหมอชิตตั้งแต่ยังไม่ตีสี่ เกือบจะถึงตีห้าพวกเราก็มากันครบทุกคน  เมื่อครบแล้วพวกเราก็หอบข้าวของขึ้นรถทันที  พวกเรารู้ว่ารถคันนี้จะไปปราจีนบุรีและวิ่งผ่านนครนายก  ผมรู้ว่ารถออกจากหมอชิตในตอนตีห้าหลังจากนั้นผมก็เอนหลังหลับตื่นอีกทีตอนหกโมงเช้าคิดว่าป่านนี้คงใกล้ถึงนครนายกแล้ว  แต่พอมองออกไปข้างทางก็เกิดอาการงงเมื่อเห็นประตูเข้านวนคร  ตาก็สว่างทันทีเมื่อรู้ว่ารถคันนี้ไม่ได้วิ่งตัดไปทางองครักษ์แต่อ้อมไปทางหินกอง  ต้องใช้เวลาอีกถึงสองชั่วโมงจึงจะถึงนครนายก  แต่เรานัดกับคนนำทางที่น้ำตกนางรองเวลาแปดโมงเช้า  เราคงไปไม่ทันตามเวลานัด ได้แต่หวังว่าเขาจะรอเราได้  พวกเราในกลุ่มนี้ไม่มีใครรู้จักเส้นทางของรถประจำทางเลยสักคน  โทษใครไม่ได้เลยงานนี้
        รถพาพวกเรามาถึงนครนายกตอนแปดโมงตรง  รถวิ่งช้าและจอดรับผู้โดยสารมาตลอดทางและแวะเติมน้ำมันหนึ่งครั้งให้เรามีโอกาสได้ยืดเส้นยืดสายซึ่งพวกเราได้มารู้ตอนหลังว่า ปุ้มนั้นพอใจกับการจอดรถในครั้งนี้มาก  เพราะต้องทนนั่งเกร็งกลั้นฉิ้งฉ่องมานาน  พวกเราแวะกินอาหารเช้าที่ร้านอาหารตามสั่งที่อยู่หน้าสถานีขนส่งนั่นเอง พร้อมทั้งสั่งข้าวห่อเพื่อใช้เป็นเสบียงมื้อกลางวันและมื้อเย็น  เมื่ออิ่มแล้วพวกเราก็หารถที่จะเหมาให้ไปส่งที่น้ำตกนางรอง  แต่ก็ไม่มีรถสองแถวคันไหนยอมตกลงให้เราเหมาเลย  แต่เราก็ไม่อยากจะไปโดยรถประจำทางเพราะกลัวจะเสียเวลามาก  และเราก็เลยเวลานัดมานานแล้วด้วย
 แต่แล้วคนนครนายกก็สร้างความประทับใจให้กับพวกเราตั้งแต่ก้าวแรกของการเหยียบแผ่นดินนครนายก  ด้วยการขับรถปิคอัพส่วนตัวไปส่งพวกเราที่น้ำตกนางรองซึ่งอยู่ไกลออกไปอีกประมาณ 18 กิโลเมตร  ซึ่งเราก็ได้รับทราบในตอนหลังว่าพี่ชายใจดีคนนั้นทำงานอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดนครนายกนั่นเอง  
         เมื่อมาถึงที่น้ำตกนางรอง เราก็พบว่าผู้ใหญ่บ้าน คนนำทาง และลูกหาบ  มานั่งรอพวกเราอยู่นานแล้ว  หลังจากที่รับฟังคำต่อว่าและได้แก้ตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  พวกเราก็ต้องเป็นฝ่ายนั่งรอบ้าง  เพราะเราเกิดสงสารลูกหาบที่จ้างไว้แค่คนเดียวเกรงว่าจะแบกเสบียงไม่ไหว  จึงต้องจ้างลูกหาบเพิ่มอีกหนึ่งคน  แต่กว่าจะตามตัวมาได้เวลาก็เกือบจะสิบโมงพอดี 



2. ออกเดินทาง

         หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว  พวกเราก็เตรียมแบกเป้ขึ้นหลัง  เป้ของแต่ละคนก็จะหนักประมาณ 7-8 กิโลกรัม ซึ่งเราได้ลองชั่งดูในระหว่างที่รอลูกหาบอีกคน  ผู้ใหญ่บ้านที่มาต้อนรับและจัดการเรื่องคนนำทางกับลูกหาบได้กล่าวอวยพรให้เราเดินทางโดยสวัสดิภาพและได้พูดขู่พวกเราไว้ว่าเส้นทางที่พวกเราจะไปนี้  เป็นเส้นทางที่โหดที่สุด  และเราก็เป้นชุดบุกเบิกของปีนี้อีกด้วย
         คนนำทางพาเราเดินข้ามลำธารสู่เขาสูงเบื้องหน้าทันทีที่ผู้ใหญ่บ้านลากลับไปแล้ว  คนนำทางกำชับให้พวกเราพยายามเดินเกาะกลุ่มกันไว้  แต่พอเดินไปได้สักพักพวกเราก็เริ่มทิ้งช่วงกันเป็นระยะๆเพราะเส้นทางต้องขึ้นเขาชัน  เราเริ่มเมื่อยขาและคนนำทางเดินเร็วมากด้วยความชำนาญ  บางช่วงต้องปีนป่ายไปตามก้อนหิน  พวกเราจึงต้องหยุดรอกันเป็นระยะๆ  คนที่เดินใกล้คนนำทางก็จะได้พักนานกว่าคนที่อยู่ท้าย  เพราะเมื่อคนท้ายๆตามทันคนนำทางก็จะพาเดินต่อทันที  พวกเราเองก็ไม่กล้าพักนาน  เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงที่พัก  และพวกเราก็ออกเดินทางช้ากว่ากำหนดเกือบสองชั่งโมง
         เมื่อเดินได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงที่พักจุดแรกที่เป็นลานหินอยู่ริมหน้าผา  เราได้พักกินน้ำและถ่ายรูปร่วมกันเมื่อเริ่มยิ้มออก  สำหรับผมนั้นคงจะจำหน้าผานี้ได้อีกนาน  เพราะผมหยิบเลนส์โคลสอัพที่อุตส่าห์ทำขึ้นเองออกมาใช้ถ่ายดอกกล้วยไม้ป่า  แต่มันหล่นมือกลิ้งตกลงหน้าผาไปต่อหน้าต่อตา  ซึ่งหมายความว่าผมหมดโอกาสที่จะถ่ายภาพโคลสอัพตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทาง  ทำให้ผมหมดสนุกกับการถ่ายภาพไปเยอะเลย  ในระหว่างที่นั่งพักอยู่นี้เราก็มีโอกาสได้ซักถามคนนำทางถึงข้อสงสัยต่าง ๆ เกี่ยวกับป่า  แต่ก้ไม่ได้คำตอบที่ให้ความรู้มากนัก  รู้แต่ว่าเราต้องรีบเดินให้ถึงที่พักค้างแรมก่อนหกโมงเย็นและก็ได้รู้ว่าคนนำทางที่คุยว่าไม่เหนื่อยเลยในขณะที่พวกเรานั้นหอบแฮกๆมีชื่อว่า ประยูร  ซึ่งพวกเราคงจะจำเขาได้อีกนาน         
        เรายังคงเดินขึ้นเขาต่อไปเรื่อย ๆ มีเสียงนกร้องเสียงกระรอกเป็นระยะๆ  และมีเสียงเหยียบกิ่งไม้ใบไม้ของพวกเรา  แต่ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะหรือเสียงหยอกล้ออย่างสนุกสนานของพวกเรา  เพราะต่างก็ก้มหน้าก้มตาเดินกันอย่างเดียว  มีล้มลุกคลุกคลานกันบ้าง  และแล้วพวกเราก็ปีนขึ้นมาถึงยอดเขาตอนได้เวลาอาหารกลางวันพอดี  ประยูรจัดแจงหาฟืนมาก่อไฟต้มนำ้กินกาแฟ  ส่วนพวกเราก็นั่งรอเสบียงมื้อกลางวันซึ่งอยู่ที่ลูกหาบและยังตามเรามาไม่ทัน  ประยูรบอกเราว่าเส้นทางที่จะเดินต่อไปนั้นเป็นทางลาดขึ้นๆลงๆที่ไม่สูงชัน  เราจะเดินกันอย่างสบายๆกว่าตอนที่ขึ้นมา
         ก่อนกินข้าวกลางวันเราเอาข้าวและน้ำใส่ในกระทงใบไม้  แล้วนำไปไหว้เจ้าป่าเจ้าเขาตามที่คุณ ยายท่านหนึ่งได้บอกเราไว้ในระหว่างที่เรารอรถอยู่ที่สถานีขนส่งนครนายก   หลังจากกินอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว  พวกเราก็ออกเดินทางต่อทันที  เส้นทางค่อนข้างแคบและรกทึบ  ตอนนี้เราเข้ามาอยู่ในป่าจริง ๆ แล้ว  เราเดินมาหยุดที่ลำธารแห่งหนึ่งซึ่งมีน้ำแห้งขอดแต่ใสเย็นให้เราได้ล้างหน้าล้างตากัน  ในขณะนั้นเราก็ได้ยินเสียงดังฟืดๆอยู่เหนือศรีษะ  พอแหงนหน้าขึ้นมองก็พบนกในตระกูลนกเงือกตัวหนึ่งกำลังบินผ่านพวกเราไปเกาะบนยอดไม้ใกล้ๆ แต่พอมันเห็นพวกเรามันก็บินหนีไป  นับเป็นโชคดีของพวกเราที่ได้เห็นมัน  ประมาณบ่ายสามโมงครึ่งเราก็เดินมาถึงริมลำธารแห่งหนึ่ง  ซึ่งประยูรบอกว่าคืนนี้เราจะพักที่นี่  เราเห็นงูตัวหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนต้นไม้กลางลำธาร ประยูรบอกว่าเป็นงูจงอางและพยายามไล่มันออกไป  ประยูรข้ามลำธารไปอีกฝั่งหนึ่งเพราะเห็นมีขนนกกองอยู่  ประยูรหายไปสักพักก็กลับมาบอกเราว่าเขาเจอหมูป่ากำลังหากินอยู่ และหมีที่กำลังปีนต้นกล้วยอยู่  แต่เราก็ไม่มีใครสนใจที่จะข้ามลำธารไปดูมัน  ต่างก็หาที่วางสัมภาระของตนเอง เพราะอยากจะนั่งพักกันเต็มทีหลังจากที่ต้องเดินมาครึ่งค่อนวัน




3. เจอดี

             เมื่อนำสัมภาระเก็บไว้ในเต้นท์เรียบร้อยแล้ว  พวกผู้ชายก็เตรียมตัวไปอาบน้ำที่ลำธารซึ่งยังพอมีน้ำไหลรินให้ได้อาบได้ใช้  ส่วนพวกผู้หญิงพร้อมใจกันที่จะขอแค่ล้างหน้าล้างตา  เราต้องรีบอาบน้ำเพราะน้ำในลำธารนั้นเย็นเฉียบ  เมื่ออาบน้ำและล้างหน้าล้างตาแล้ว  เราก็หาฟืนมาก่อกองไฟบริเวณหน้าเต้นท์ แล้วกินอาหารเย็นกัน ซึ่งมื้อนี้คือผัดกระเพราราดข้าวที่เราซื้อไว้ตั้งแต่ตอนเช้า  หลังจากอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วพวกเราก็พักผ่อนกันตามอัถยาศัยท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดของป่า  มีเพียงเสียงลำธารและเสียงนกร้องเป็นระยะๆ  เราจัดแจงตักน้ำจากลำธารขึ้นมาต้มกินเพราะน้ำดื่มที่เตรียมมาคนละสองขวดเริ่มหมดกันแล้ว  เราต้องการทำให้น้ำที่ต้มแล้วนั้นเย็นลงเร็วๆ  ผมจึงจัดแจงเอาหม้อที่ต้มน้ำไปวางไว้บนโขดหินกลางลำธารประมาณห้านาทีน้ำก็เริ่มเย็นตัวลง  แต่ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังซู่ ๆ มาจากทางทิศตะวันออก  ผมรู้ทันทีว่านั่นคือเสียงของฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก  ผมจึงรีบเก็บหม้อน้ำขึ้นมา  ตอนนั้นต่างคนต่างก็รีบเก็บเสื้อผ้าของตนที่ผึ่งไว้วิ่งเข้าไปเก็บในเต้นท์  ฝนตกแรงมากอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงจึงค่อยซาเม็ดหายไป  เต้นท์ของเราเปียกชื้น ฟืนเปียก ไฟที่ก่อไว้ก็ดับสนิท  ในระหว่างที่ฝนกำลังตกนั้นประยูรเข้ามาหลบฝนอยู่ในเต้นท์ของผมและบอกว่าที่ฝนตกในฤดูนี้เกิดจากปาฏิหารย์ของเจ้าพ่อเขาใหญ่  เพราะเจ้าพ่อเขาใหญ่ไม่ชอบให้ใครเอาหม้อสนามลงไปลอยในน้ำ  ผมไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ไม่กล้าท้าทาย  ก่อนที่จะมาเดินป่าผมเคยได้ยินมาว่าป่าเขาใหญ่นั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้  จึงได้เตรียมเสื้อกันฝนมาด้วยและผมก้ได้ใช้จริง ๆ

              หลังจากทีฝนหายไปแล้วพวกเราได้พยายามก่อกองไฟขึ้นมาอีกครั้งจากฟืนที่เปียกชื้น  ในระหว่างนั้นประยูรและลูกหาบได้เอาไฟฉายไปส่องหากบตามลำธารซึ่งตอนนี้มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อยและก็ได้กบมาย่างกินหลายตัว  ส่วนพวกผู้หญิงก็ตื่นเต้นกับหิ่งห้อยที่บินมาให้ยลโฉมสี่ห้าตัว  คนที่ตื่นเต้นเป็นพิเศษคือเล็ก  เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นหิ่งห้อย  ประยูรบอกเราว่าในวันรุ่งขึ้นเราจะต้องเดินประมาณสิบกิโลเมตรจึงจะถึงจุดที่จะพักแรม  แต่ถ้าเรารีบออกเดินตั้งแต่เช้าเราสามารถเดินไปถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาใหญเลยก็ได้โดยไม่ต้องพักค้างแรม  พวกเรามีเสียงเป็นเอกฉันท์ที่จะให้เป็นไปตามแผนเดิมคือเดินไปพักที่จุดพักอีกหนึ่งคืน  และบอกกับประยูรว่าเราจะออกเดินทางกันสายหน่อยและเดินแบบสบาย ๆไม่ต้องรีบร้อนนัก  เพราะเราอยากมีเวลาที่จะชมนกชมไม้ได้บ้าง






4. หนีช้าง


             เช้าวันที่สองของการเดินทาง  เราตื่นขึ้นมาท่ามกลางอากาศที่แสนบริสุทธิ์  ฝนที่ตกลงมาเมื่อคืนทำให้บรรยากาศรอบๆชุ่มชื้นดูแล้วสดชื่นมาก  ต้นมอสตามโขดหินเขียวสดและมีชีวิตชีวาขึ้นไม่เหี่ยวแห้งเหมือนเมื่อวาน  ต้องขอบคุณเจ้าพ่อเขาใหญ่ที่ช่วยชุบชีวิตพืชเล็ก ๆเหล่านี้  แสงแดดที่เล็ดลอดทอดผ่านกิ่งไม้ลงมาตัดกับหมอกควันเกิดเป็นลำแสงสวยงามมาก  ขนมปังทาแยมคืออาหารเช้าที่เรานั่งกินกันรอบกองไฟท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายไม่หนาวจนเกินไปนัก  ประมาณเก้าโมงเช้าเราก็เก็บข้างของเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง  ขณะนั้นผมก็เหลือบไปเห็นกระรอกคู่หนึ่งกำลังกินผลไม้อยู่บนต้นไม้ฝั่งตรงข้ามลำธาร   จึงใช้กล้องส่องทางไกลแบ่งกันส่องดู  นับเป็นสัตว์ป่าตั วที่สามที่พบนับจากนกเงือกและงู

               ประยูรพาเราออกเดินไปตามเส้นทางแคบๆขึ้นๆลงๆตามสันเขาแต่ไม่สูงชันมากทำให้เดินกันได้สบายๆต้นไม้สองข้างทางนั้นสูงใหญ่และร่มครึ้ม  บางช่วงเราเดินผ่านดงกล้วยป่าซึ่งมีลำต้นสูงมากและมีลูกสีแดงอมม่วง  เมื่อเดินไปสักพักเราก็เจอต้นกล้วยโดนหักโค่นเป็นบริเวณกว้างและมีขี้ช้างเต็มไปหมด  ประยูรปลอบใจเราว่าเป็นร่องรอยของหมูป่า  แต่ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาเราเจอร่องรอยการขุดดินของหมูป่า  แต่ไม่เห็นว่ามีฤทธิ์ทำลายล้างได้มากขนาดนี้เลย  เมื่อเราเดินต่อไปเรื่อย ๆก็ได้ยินเสียงแหลมเล็กดังกังวาลขึ้น  ประยูรสั่งให้เราพยายามเดินเงียบ ๆและเกาะกลุ่มกันไว้  เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของช้างป่า  เรายังคงเดินหน้าไปเรื่อย ๆ แล้วพวกเราก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงต้นไม้ล้มโครมครามอยู่ข้างหน้า  เราเห็นรอยเท้าช้างที่ลำธาร  ประยูรเกรงว่ามันจะกลับมาตามเส้นทางเดิมจึงบอกให้พวกเราถอยไปหลบเพื่อดูเหตุหารณ์

       
      พวกเราตื่นเต้นและอยากเห็นช้างป่า  จึงไม่ค่อยจะเต็มใจถอยเท่าไหร่นัก  ต่างก็ชะเง้อชะแง้เพื่อที่จะดูว่าช้างอยู่ตรงไหน  แต่ในที่สุดพวกเราก็ลงไปหลบอยู่กลางลำธารในหุบเขาใกล้ๆกันนั้นเอง  ประยูรบอกว่าอันตรายมากถ้าเจอกับช้างตกมัน  และเล่าประสบการณ์เรื่องการหนีช้างของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ให้พวกเราฟัง  และบอกเราว่าถ้าช้างขับให้วิ่งไปหลบตามต้นไม้ใหญ่ๆ   เมื่อเสียงช้างเงียบลงไปแล้วเราก็ออกเดินกันต่อและมาพักกินอาหารกลางวันที่น้ำตกซึ่งตอนนี้ไม่มีน้ำแล้ว

               มื้อนี้เป็นข้าวเหนียวหมูทอดและเราก็ต้องหนีช้างปะข้าวเหนียวที่แข็งที่สุดที่เคยเจอ   หลังจากกินอาหารกลางวันเราเดินต่อไปเรื่อยๆ จนประมาณบ่างสองโมงกว่าๆ ก็มาถึงบริเวณตาดตาภู่ซึ่งเป็นจุดที่เราจะพักแรมกัน  ประยูรพาเราขึ้นไปพักบนเนินดินและมีลานหินใกล้ธารน้ำตก  เป็นบริเวณโล่งแจ้งแห่งแรกที่เราได้เจอ  เพราะตั้งแต่วันแรกที่เราเดินมามีแต่ต้นไม้หนาทึบ  เราวางสัมภาระและหาฟืนเตรียมไว้  เวลาต่อไปนี้ก็จะเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบท่ามกลางธรรมชาติแห่งผืนป่าที่งดงาม


5. ตาดตาภู่


               ที่ตาดตาภู่ยังพอมีธารน้ำตกเล็ก ๆ ให้เราได้ชื่นชมอยู่บ้าง  ผมจินตนาการณ์เอาว่าในฤดูฝนที่มีน้ำหลากมันคงจะเป็นน้ำตกที่มีน้ำหลากและสวยงามมาก  สายน้ำคงจะกระจายไปทั่วทั้งแผ่นผาตามร่องรอยที่มีอยู่  พวกผู้หญิงจับกลุ่มกันลงไปเล่นน้ำในแอ่งน้ำที่อยู่ด้านล่างสุดของน้ำตก  ลูกหาบจัดการกางเต้นท์ให้พวกเราโดยเลือกทำเลตรงชายป่าด้านหน้าเป็นลานหินกว้าง  บรรยากาศและสถานที่เหมาะมากที่จะเล่นรอบกองไฟถ้าหากไม่มีฝนตกเหมือนเมื่อคืน  ผมนอนหลับใต้ร่มไม้ได้งีบหนึ่งจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำซึ่งตอนแรกก็ตั้งใจจะเล่นน้ำให้สนุก  แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อได้ลงไปสัมผัสสายน้ำที่เย็นเฉียบ  เย็นจนต้องรีบๆ อาบเพราะรู้สึกหนาวมาก  ทั้ง ๆ ที่อุณหภูมิของอากาศตอนนั้นก็ประมาณสามสิบองศา

           
  วันนี้เราต้มมาม่ากินกันเป็นอาหารเย็น  ประยูรเอาข้าวสารมาให้เราถุงหนึ่งบอกให้เราช่วยกินให้หมดเพราะขี้เกียจแบกกลับและให้ปลากระป๋องมาอีกหนึ่งกระป๋อง  เราจึงจัดแจงหุงข้าวกินกับปลากระป๋องและหมูทอดที่เหลือจากมื้อกลางวัน  ในบรรยากาศที่เป็นใจทำให้รู้สึกว่าอาหารมื้อนี้มีรสชาดมาก  หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว  พวกเราก็ออกมานั่งคุยกันรอบกองไฟ
คืนนั้นพระจันทร์เกือบเต็มดวง  พวกเราพักกันกลางแจ้งจึงมองเห็นดาวเห็นเดือนได้ถนัด  แสงจันทร์ช่วยให้เรามองเห็นบริเวณรอบ ๆ ได้อย่างสบาย  ฟ้าก็โปร่งไม่มีดมิดเหมือนเมื่อคืน


          
             ระหว่างที่นั่งคุยกันอยู่นั้น  ปุ้มก็ทำหน้าที่ต้มน้ำเพื่อเอาไว้กินในวันรุ่งขึ้น  น้อยนำผ้าที่ชื้นมารมไฟเพื่อทำให้แห้ง  ฝนที่ตกลงมาเมื่อคืนช่วยทำให้น้อยเอาผ้ารมไฟได้เก่งขึ้น  ประยูรได้เข้ามาร่วมวงคุยด้วยกับเรา  และเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ต่าง ๆ ให้พวกเราฟังหลายเรื่องโดยไม่ต้องร้องขอหรือตั้งคำถาม  ทำให้เรารู้จักประยูรดีขึ้นมาก  ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็น  พวกเราเริ่มทยอยแยกย้ายกันไปนอน  น้ำค้างตกจนเต้นท์ของเราเปียกชื้นเย็นเฉียบ  ผมกับโก๊กไม่อยากเข้าไปนอนในเต้นท์เพราะอยากจะได้บรรยากาศของการรอนแรมจึงนอนข้างกองไฟข้างนอกเหมือนกับประยูรและลูกหาบ  ความหนาวและพื้นหินที่ไม่ค่อยเรียบทำให้ต้องตื่นเป็นระยะๆ แต่ก็ดีที่จะได้มีโอกาสลุกขึ้นมาสุมไฟเป็นระยะ ๆ เหมือนกัน ทำให้ไฟไม่ดับและอบอุ่นได้ตลอดทั้งคืน  แล้วคืนนี้ก็ผ่านไปด้วยดีโดยไม่มีปาฏิหารย์หรือสัตว์ร้ายมากร้ำกราย



6. จากปาสู่เมือง


             รุ่งเช้าของวันที่สามเราตื่นมาท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นสบายไม่หนาวมาก  กองไฟที่สุมไว้ตั้งแต่เมื่อคืนถูกสุมฟืนให้มีเปลวไฟมากขึ้นเมื่อพวกเรามานั่งล้อมวงกินขนมปังกันรอบกองไฟ  ประยูรบอกว่าเราต้องเดินอีกประมาณแปดกิโลเมตรจึงจะถึงอาคารโภชนาการของ ททท.ซึ่งเป็นจุดที่รถจะมารับพวกเรากลับ  พวกเราจึงตกลงกันว่าจะเริ่มออกเดินทางแปดโมงเช้า  เมื่อจัดการกิจธุรส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้ว  พวกเราก็ช่วยกันจัดการกับเศษขยะและของเหลือใช้ต่าง ๆ ตามแนวทางของนักอนุรักษ์สภาพแวดล้อม  ดับกองไฟที่สุมไว้  แล้วถ่ายภาพหมู่ร่วมกันไว้เป็นที่ระลึกก่อนที่จะออกเดินทาง
           
               การเดินป่าของเราในวันนี้เดินกันอย่างสบาย ๆ เส้นทางไม่ลำบากมากนักประกอบกับกำลังของเราเริ่มจะอยู่ตัวกันแล้ว  มีการเดินไต่ขอนไม้ข้ามลำธารบ้างให้ได้ตื่นเต้นกันเล็กน้อย  และมีทากตัวเล็กมาเกาะตามรองเท้าให้พอตื่นเต้นกันบ้าง  ช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูฝนจึงไม่ค่อยมีทากมาก่อกวนพวกเรา  และก่อนออกเดินทางก็ฉีดสเปรย์ป้องกันเอาไว้แล้ว เราพบร่องรอยของช้างเป็นระยะ ๆ ตลอดเส้นทางแต่พบร่องรอยของหมูป่ามากที่สุด  เราเดินมาจนถึงเวลาประมาณเที่ยงวันก็สังเกตุเห็นว่าความร่มครึ้มและชุ่มชื้นของป่าเริ่มหายไป  ป่าเริ่มกลายเป็นป่าโปร่งและดูแห้งแล้ง   ประยูรบอกว่าเราไกล้จะถึงที่ทำการอุทยานแล้ว  เราเริ่มได้ยินเสียงรถยนต์วิ่งบนถนน  พอเดินต่อไปได้สักครู่เราก็ไปถึงอาคารโภชนาการ ททท.  ซึ่งเป็นอาคารไม้หลังใหญ่ที่เก่าและค่อนข้างทรุดโทรมอยู่ติดกับถนน  ประยูรจัดแจงขอยืมมอเตอร์ไซด์ของคนดูแลอาคารเพื่อที่จะไปซื้อข้าวที่ที่ทำการอุทยานมาให้พวกเรากิน  ขณะนั้นผู้ใหญ่บ้านก็ขับรถมารับพวกเราพอดี  เราจึงขอให้ผู้ไหญ่บ้านพาพวกเราไปกินข้าวที่ที่ทำการอุทยานก่อน  ในขณะที่เรานั่งกินอาหารอยู่ในร้านก็มีหมูป่าออกมากินเศษอาหารกันสี่ห้าตัว  ที่น่าตลกก็คือตลอดเวลาสามวันที่เราเดินทางรอนแรมอยู่ในป่านั้นเราไม่เคยเห็นตัวสัตว์ขนาดใหญ่เลย  เห็นแต่ร่องรอยและมูลของมันที่ถ่ายไว้  แต่พอออกมาจากป่ากลับเจอหมูป่าตั้งหลายตัว


               ผู้ใหญ่บ้านพาเราไปส่งที่สถานีขนส่งนครนายก  ระหว่างทางที่รถวิ่งลงจากเขาใหญ่นั้นเราได้พบฝูงลิงจำนวนมากออกมาอยู่ตามข้างถนนเพื่อขอเศษอาหารจากนักท่องเที่ยว  ประมาณหนึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงสถานีขนส่ง  ประยูรได้แนะนำให้นั่งรถที่มาจากอรัญประเทศเพราะรถจะวิ่งไปในเส้นทางสายองครักษ์  ต่อไปนี้คงเหลือเพียงความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเราเคยได้เข้าไปเยือนป่าที่สมบูรณ์  มีความเป็นธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่จนทำให้เรามีความรู้สึกว่าตัวเรามีค่าเป็นเพียงวัตถุชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งที่เข้าไปเป็นส่วนเกินของธรรมชาติที่งดงาม


                                                  ราเมศร์  เรืองอยู่...ผู้บันทึกการเดินเท้าจากนางรองสู่เขาใหญ่
                                                                               กุมภาพันธ์ 2538
  

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

น้ำท่วมทุ่ง

                คำว่า "น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง"  คงเป็นคำที่ไม่คุ้นหูสำหรับเด็กรุ่นใหม่  เพราะเหตุการณ์น้ำท่วมทุ่งจนเกิดผักบุ้งงอกงามนั้นหาไม่ได้แล้วในยุคปัจจุบัน   ถึงแม้จะยังมีนำ้ป่าไหลหลากอยู่บ้างในบางพื้นที่  แต่ด้วยระบบชลประทานที่ทำคูคลองส่งน้ำและระบายน้ำจากทุ่งนา  ทำให้น้ำป่าไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีน้ำที่ไหลหลากผ่านพื้นที่ทุ่งนาเป็นแรมเดือนเหมือนสมัยก่อน
               ในฐานะเด็กที่เติมโตมากับท้องไร่ท้องนาอย่างผม   เห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายในท้องทุ่ง  เมื่อเทียบกับในสมัยที่ผมยังเป็นเด็กเมื่อหลายสิบปีก่อน  ธรรมชาติคงต้องปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพที่เป็นจริงในปัจจุบัน  ธรรมชาติที่งดงามอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ชุ่มน้ำในฤดูน้ำหลากก็เหือดหายไปเหลือไว้แค่ในความทรงจำ   ในอดีตของพื้นที่บ้านเกิดของผมที่อำเภอบรรพตพิสัย  จังหวัดนครสวรรค์  จะมีน้ำไหลหลากมาท่วมทุ่งทุกปีในช่วงกลางฤดูฝน และในแต่ละปีจะท่วมอยู่นานไม่น้อยกว่าสองสามเดือน ซึ่งไม่ใช่น้ำท่วมขังแต่เป็นนำ้ที่ไหลพัดผ่านพื้นที่จากเหนือลงใต้  เด็ก ๆ อย่างผมจะตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นน้ำเริ่มเอ่อท้นท่วมชายทุ่งมาจ่ออยู่ที่พื้นที่หลังบ้าน  เพราะมันคือสัญญาณของความสนุกสนานที่จะเกิดตามมาในอีกไม่ช้า  เมื่อน้ำไหลบ่าท่วมทุ่งในประมาณเจ็ดวันแรก  พวกเรายังถูกผู้ใหญ่ห้ามไม่ให้ไปเล่นน้ำเพราะน้ำยังเป็นสีขุ่น  แต่เราก็ได้สนุกสนานกับการตกเบ็ดหาปลาที่มากับสายน้ำ  หลังจากเจ็ดวันน้ำจะเริ่มใสไหลเย็นจนเห็นเม็ดดินเม็ดทรายอยู่ด้านล่าง  พวกผู้ใหญ่จะทำท่าน้ำในบริเวณที่มีธารน้ำไหลผ่านสำหรับเป็นที่ตักน้ำมาใช้  ซักผ้า อาบน้ำ  ส่วนเด็ก ๆ อย่างเราก็ใช้เป็นท่ากระโดดน้ำ  และเด็กส่วนใหญ่ก็จะหัดว่ายน้ำโดยเริ่มจากการเกาะลูกมะพร้าวแห้งแทนแผ่นโฟมในสระว่ายน้ำเหมือนปัจจุบัน  
               ความอุดมสมบูรณ์แห่งท้องทุ่งในยามน้ำหลากค่อย ๆ ปรากฎให้เห็น เริ่มจากเหล่าผักบุ้งนาที่ชูยอดโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ เป็นอาหารที่อุดมด้วยวิตามิน  ตามด้วยพื้ชน้ำอีกหลายหลากชนิดค่อย ๆ เกิดและเติบโตพริ้วใบสะบัดไปตามกระแสน้ำที่ไหลเอื่อย ผักแว่น ผักกระเฉด  บัวสาย  สาหร่าย เกิดแทรกแซมอยู่ในทุ่งข้าวให้เราได้เก็บกินอย่างไม่ต้องซื้อหา  กุ้งหอยปูปลาก็สามารถจับหามาได้อย่างง่ายดาย  ในยามค่ำคืนก็แว่วระงมไปด้วยเสียงกบเขียดและนกน้ำสลับเสียงสูงต่ำในท่วงทำนองแบบธรรมชาติฟังแล้วสงบเพลินยิ่งนัก  ภาพความงดงามของธรรมชาติยามน้ำหลากท่วมทุ่งยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำของผมเสมอในคราวที่ผมนั่งเรือหมูที่พ่อเป็นคนใช้ไม้ค้ำถ่อและแม่เป็นคนช่วยพาย  พวกเราพายเรือไปดูข้าวพันธ์หนักที่กำลังจะออกรวงและเก็บเกี่ยวได้หลังน้ำลด  แม่นำเครื่องบูชาแม่โพสพได้แก่ ข้าวสุก ไข่ต้ม ขนมต้มขาว หมากพลู ไปทำพิธีไหว้เทวีแห่งข้าว หรือเราเรียกว่าไปทำขวัญข้าว   พ่อถ่อเรือลัดเลาะท้องทุ่งไปหลายกิโลเมตร  กู้ลอบและไซดักปลา ได้อาหารโปรตีนมากินได้หลายมื้อ แม่ก็เก็บพืชน้ำ และสายบัวมาทำอาหาร  เด็กอย่างผมก็มีความสุขที่ได้เห็นแมงปอหลากสีโบยบินฉวัดเฉวียนเห็นปีกใสสะท้อนแสงแดดยามสายวาววับแล้วบินมาจับที่ยอดหญ้าที่ปลิ่มน้ำ  พอเราเอื้อมมือจะจับก็สุดเปรียวบินโฉบเฉี่ยวหนีไปอย่างว่องไว  และบางครั้งก็สุดดีใจเมื่อไปเจอกับไข่แมงดานา  เพราะว่าเวลาทีนำมาปิ้งกินนั้นส่งกลิ่นหอมและเนื้อกรุบกรอบโอชานัก



               ทุกวันนี้เวลาที่ผมได้กลับไปบ้านเกิดในฤดูที่เคยมีน้ำหลาก ผมไม่เห็นภาพในความทรงจำนี้อีกแล้ว  ท้องทุ่งข้าวเขียวขจียังมีอยู่เหมือนเดิม  แต่ในทุ่งข้าวมีน้ำแค่พอหล่อเลี้ยงต้นข้าว  หากน้ำเยอะก็จะถูกระบายลงคลองส่งน้ำ ไม่ทิ้งเวลาพอให้ปลาวางไข่  พืชน้ำไม่ทันได้งอกเงย มีแต่หญ้าที่เป็นวัชพืชและกินไม่ได้  ไม่มีกุ้งหอยปูปลา  มีหอยบางชนิดอยู่บ้างแต่เป็นชนิดที่กินไม่ได้  ในน้ำก็อุดมด้วยปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง  เกษตกรหันมาพึ่งน้ำบาดาลแต่ก็เริ่มเหลือตราน้ำใต้ดินให้สูบขึ้นมาใช้ได้น้อยลงต้องเจาะลึกมากขึ้น อาจเป็นเพราะน้ำที่ไหลผ่านไปตามระบบคลองชลประทานอย่างรวดเร็วไม่มีโอกาสได้ซึมลงใต้พื้นดิน   นี่คงเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการรักษาสมดุลของธรรมชาติที่มนุษย์ทำให้ธรรมชาติเสียสมดุล  แล้วพวกเราล่ะ  จะหาจุดสมดุลของการใช้ชีวิตนี้อย่างไรในสภาะวะที่ธรรมชาติเสียสมดุล
                                                                                                              
                                                                                                          ราเมศร์  เรืองอยู่
                                                                                                                5 พ.ค.59