วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วาดภาพสีน้ำ

        ด้วยเพราะผมเป็นนักกิจกรรมบำบัด  ซึ่งให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือการบำบัดโดยใช้กิจกรรมนั่นเอง  ผมทำงานด้านการฟื้นฟูสภาพผู้ป่วยทุพพลภาพ  มีเป้าหมายคือทำให้พวกเขากลับไปดำรงชีวิตได้ต่อไปโดยสามารถพึ่งพาตนเองได้สูงสุดตามศักยภาพหรือสมรรถนะทางร่างกายและจิตใจ  


         ผมใช้การวาดรูปดึงศักยภาพของผู้ป่วยกลุ่มที่มีพรสวรรค์หรือสนใจการวาดรูป  ฝึกให้เขาใช้พลังทางร่างกายและจิตใจที่มีอยู่ผ่านปลายภู่กัน  จนหลายคนประสบความสำเร็จจนสามารถนำมาซึ่งรายได้ในการดำรงชีวิต   ผมไม่ได้สอนจนเขาเก่ง  ผมแค่จัดประสบการณ์เริ่มต้นให้พวกเขาแล้วพวกเขาก็ไปต่อยอดเรียนรู้จนเก่งชำนาญ ผมเริ่มต้นด้วยการให้พวกเขาลองวาดสีน้ำแล้วไปต่อยอดความชำนาญเป็นเทคนิคสีอื่น ๆ   ส่วนผมก็ยังอยู่ที่สีน้ำเหมือนเดิม  และก็ยังต้องเรียนรู้สีน้ำไปพร้อม ๆ กับพวกเขา


 วิวเมืองวังเวียง


วิวเมืองหลวงพระบาง





                                                                         ราเมศร์  เรืองอยู่
                                                                        19 ก.ค. 58

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

                                                               ชีวิต...ไม่ยึดติดกาแฟ
     

          ผมเลิกดื่มกาแฟมาหลายเดือนแล้ว   รู้สึกได้ว่าชีวิตเป็นอิสระ  อารมร์เดียวกันกับความรู้สึกเมื่อตอนที่เลิกเล่นเกม  ตอนเช้าไม่ต้องสาละวนกับการต้มนำ้เพื่อชงกาแฟ  เวลาเดินทางไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องชะเง้อชะแง้แลหาร้านกาแฟ   ไม่ต้องกังวลว่าวันนี้จะได้กินกาแฟตอนไหน  ที่ที่จะไปมีกาแฟกินไหม  ต้องเตรียมไปเองหรือเปล่า  และไม่ต้องมานั่งมึนหัวตึ๊บตอนสาย ๆ ในวันที่ยังไม่ได้กินกาแฟ
         ผมหักดิบการแฟ  โดยมีอาการปวดหัวแค่สองวัน  แรงบันดาลใจให้เลิกน่าจะเกิดจากการสะสมมานาน  วันหนึ่งกาแฟที่บ้านหมดและมีเรื่องยุ่ง ๆ ต้องทำมากมาย  มีความลำบากเล็กน้อยที่จะต้องออกไปหากาแฟอย่างที่ต้องการกิน  ก็บอกตัวเองว่า  "เลิกกินดีกว่ามั๊ย"  เท่านั้นเอง
         แล้วก็รู้ว่าที่ผ่านมาเรายึดติดกับอารมณ์สุนทรีย์ที่ปรุงแต่งจากกลิ่นและรสของกาแฟ  ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่เกิดชั่วคราวแค่กาแฟหมดแก้ว  ไม่ยั่งยืน  ใจที่หยุดนิ่งได้ต่างหากที่ยั่งยืนกว่า

                                                                                                                  ราเมศร์
                                                                                                                 5 ก.ค.58

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

จุดอิ่มตัวของการติดเกม


          ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตติดเกมคอมพิวเตอร์ของผมจะยุติลงได้อย่างง่ายดาย   เป็นการยุติอย่างกระทันหัน หักดิบ เลิกเล่นทันทีเมื่อคิดว่าจะไม่เล่นแล้ว  พร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นกับตัวเองว่าอะไรที่ทำให้เราเลิกเล่นเกม  ในวันที่เขียนบทความนี้อยู่ผมเป็นอิสระจากชีวิตติดเกมมาได้ประมาณหกเดือนแล้ว
          จากเวลาที่ย้อนกลับไปประมาณสิบปีที่ผมต้องจัดให้มีเวลาอยู่หน้าจอในแต่ละวันประมาณสองชั่วโมงสำหรับการเล่นเกม โดยเฉพาะเกมที่ผู้เล่นจะต้องทำระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมรู้สึกว่ามันท้าทายให้เราต้องทำให้ได้ เมื่อทำได้ก็อยากจะทำให้ได้ในระดับที่สูงขึ้นไปอีก  จนถึงจุดสูงสุดของเกมก็จะรู้สึกประสบความสำเร็จ  แล้วก็หาเกมอื่นที่มีลักษณะคล้ายกันเล่นต่อ   อาจจะเป็นเพราะว่าเกมสามารถตอบสนองลักษณะนิสัยลึก ๆ ในตัวที่ผมเคยประเมินตนเองด้วยแบบทดสอบแรงจูงใจในการทำกิจกรรมของมนุษย์สมัยทำภาคนิพนธ์ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็ได้  ซึ่งแรงจูงใจจากช้างในของคนเรามีสามเหตุผลคือ มุ่งสำเร็จ มุ่งสัมพันธ์ และมุ่งอำนาจ  โดยผลการประเมินแปลเป็นว่าผมเป็นคนที่ทำกิจกรรมเพื่อมุ่งสำเร็จ  อาจด้วยเหตุนี้ที่ทำให้ผมชอบเล่นเกมที่ต้องผ่านระดับขึ้นไปเรื่อย ๆ มันคงจะดีกว่านี้ถ้าผมเอาไปใช้กับการทำงานประจำแทนใช้ในการเล่นเกม  แต่คำตอบของเรื่องที่ว่าทำไมผมจึงไม่ใช้ในการทำงานก็คือความสำเร็จจากการเล่นเกมมันง่ายกว่ากันเยอะเมื่อเทียบกับการทำงาน ผมจึงเลือกที่มันสำเร็จได้ง่ายกว่าซึ่งก็คือเกมนั่นเอง


      
         เมื่อยุติการเล่นเกมผมก็รู้สึกได้ถึงความเป็นอิสระ  ชีวิตไม่ต้องไปจดจ่อเพื่อหาจังหวะเวลาในการเล่นเกม ผมมีเวลาทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ได้มากขึ้น  มีอิสระในเรื่องของเวลาและรู้สึกผ่อนคลายไม่เร่งรัด   และก็อยากจะหาคำตอบว่าอะไรที่ทำให้ผมเลิกเล่นเกมได้อย่างทันทีทันใด เพราะก่อนหน้าที่ผมจะเลิกเล่นประมาณหนึ่งสัปดาห์ผมยังประกาศกับเพื่อนร่วมงานอยู่เลยว่าเกมคือส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ของผม  ผมจึงเริ่มทบทวนตนเองย้อนไปเรื่อย ๆ ว่าขณะที่ผมเล่นเกมนั้นผมเจอหรือสัมผัสความคิดอะไรบ้าง   ผมเห็นว่ามีหลายครั้งมากที่ผมรู้ผิดเพราะต้องผิดนัดกับคนอื่น เช่นเพื่อนร่วมงาน  การประชุม รวมถึงการไปรับลูกที่โรงเรียน ด้วยสาเหตุว่าต้องเล่นเกมให้จบก่อน    หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าไม่ได้ทำงานทั้งงานประจำที่ต้องเอามาทำนอกเวลา งานบ้าน   และก็ทำอย่างด้อยคุณภาพเพราะเหลือเวลาน้อยเนื่องจากต้องแบ่งเวลาไปเล่นเกม และหลายครั้งที่ต้องนอนดึกและรู้สึกถึงสุขภาพที่เสื่อมโทรมจากการพักผ่อนไม่เพียงพอในวันที่จัดเวลาเล่นเกมมาไว้ช่วงท้ายสุดของวัน   ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ผมมองตัวเองและเห็นตัวเองเสมอว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมและผมก็เก็บความรู้สึกที่เกิดขึ้นไว้ในใจมาเรื่อย ๆ




         ในเมื่อทุกอย่างล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ   และธรรมชาติก็จะปรับสมดุลด้วยวิธีทางธรรมชาติ  รวมถึงความสมดุลทางด้านจิตใจ  ซึ่งผมคิดว่ามันคงถึงเวลาที่จิตใจของผมมันจะปรับสมดุลด้วยการถึงจุดอิ่มตัวจากการสะสมความคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไม่สมดุลแล้ว มันส่งผลกระทบต่อฝั่งของกิจกรรมที่ผมควรจะทำ  เหมือนการทำปฏิกิริยาของสารเคมีที่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงจุดหนึ่งของการผสมผสาน   และนี่ก็คือคำตอบที่ผมตอบตัวเอง   

                                                                                                                                           ราเมศร์  เรืองอยู่
                                                                                                                                         13 มิถุนายน 2558

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อุปกรณ์เสริมที่น่าทึ่ง


          ผมเป็นนักกิจกรรมบำบัด มีบทบาทหนึ่งในวิชาชีพคือการประดิษฐ์คิดค้น  หาอุปกรณ์เสริมเพื่อให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาในการเคลื่อนไหวสามารถทำกิจวัตรต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง  หลายครั้งที่ต้องรู้สึกว่าหมดหนทางที่จะหาอะไรมาเสริมได้ เช่นคนที่กำมือและขยับนิ้วไม่ได้  ขยับได้แต่ข้อศอก  ก็นึกไม่ออกว่าจะหาอะไรมาเสริมเพื่อให้เขาเปิดหนังสืออ่านได้  มีข้อจำกัดเรือ่งวัสดุอุปกรณ์ว่าจะใช้อะไรดี จึงจะดูดีและมีคุณสมบัติเหมาะสม  
         ตอนนี้ผมมีอุปกรณ์เสริมที่น่าทึ่งมาก ๆ อันหนึ่งที่อยากจะแนะนำ  แต่ผมไม่ใช่คนที่ทำมันหรอกนะ แต่มันเกิดจากความคิดของผู้ป่วยเอง  ผู้ป่วยคนนี้ขยับนิ้วมือไม่ได้ หยิบจับดินสอปากกาไม่ได้  โดยปกติผมก็จะทำผ้าติดแถบกาวพันมือและมีแถบสำหรับเสียบอุปกรณ์ เช่น  ด้ามช้อน ดินสอ ปากกา ที่โกนหนวด ให้กับผู้ป่วยประเภทนี้  เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้เอง  แต่ผู้ป่วยรายนี้เขาประยุกต์ใช้ขวดนมมาเป็นอุปกรณ์ยึดภู่กันสำหรับวาดรูป  ซึ่งเมื่อผมเห็นแล้วรู้สึกทึ่งมาก  เป็นอะไรที่เรียบง่ายมากและดูไม่มีมูลค่า  แต่ว่ามันกลับเป็นอุปกรณ์ที่เขาใช้มันได้อย่างดีที่สุดและถนัดที่สุด  เขาใช้มันในการสรรสร้างงานศิลปะมากมายหลายชิ้น  เกิดมูลค่าจากงานหลายหมื่นเท่าของราคาขวดเปล่าใบนั้น  และที่สำคัญเมื่อเขาได้ไปออกสื่อต่าง ๆ ในฐานะศิลปินวาดรูป เขาก็ได้โชว์ให้ทุกคนเห็นว่าเขาได้ใช้เจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้ในการสร้างงานศิลปะ  เรียกได้ว่าเป็นอัตลักษณ์ประจำตัวเลยก็ว่าได้


   
    ผมได้พยายามคิดว่าจะหาวัสดุอะไรมาทำอุปกรณ์แทนชัินนี้ได้บ้าง  ที่จะดูดี ราคาถูก ใช้งานได้ดี  ปรากฎว่าจนบัดนี้ผมก็ยังคิดไม่ออกครับ......กฤชติณฑ์  วสนาท  บอกว่าเขาจะใช้มันตลอดไป
popsnapshot.blogspot.com

                                                                                                                                                                                                                                                                                                            ราเมศร์  เรืองอยู่
                                                                                                                                              11  มิ.ย. 58

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558

บนถนนแห่งชีวิต



         ทุกวันนี้ทุกคนกำลังเดินไปบนถนนแห่งชีวิต  เราทุกคนกำลังถูกบังคับด้วยกฏแห่งธรรมชาติให้เดินไปสู่จุดหมายปลายทางที่เดียวกันคือ...ความตาย   แต่ละคนต่างมีเส้นทางชีวิตของตนเอง  หลายคนเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน  แต่ต่างกรรมต่างวาระ  เจอวิบากบนเส้นทางที่ต่างกัน  บางคนเดินไปขณะฝนตกหนักต้องฝ่ามรสุม  บางคนอาจเดินฝ่าแดดร้อนแผดเผา  ทุกคนไม่รู้ว่าถนนแห่งชีวิตของตนเองจะไปสิ้นสุดที่จุดไหน  ส่วนใหญ่จึงสร้างจุดหมายให้กับตัวเองโดยใช้ความสำเร็จหรือความฝัน  แต่ละคนก็มีความสำเร็จและความฝันที่ต่างกันอีก  ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของบางคนอยู่ที่ความมั่งคั่งด้วยทรัพย์สิน  บางคนอยู่ที่วิชาความรู้สูงล้ำ  บางคนอยู่ที่การได้รับการยอมรับยกย่อง  และมีอีกส่วนหนึ่งความสำเร็จอยู่อยู่ภายในใจที่สงบเย็น  สำหรับความฝันคือสิ่งที่ช่วยผลักดันให้แต่ละคนสู่ความสำเร็จ  หลายคนยอมเหนื่อยยากเพื่อหาหนทางสู่ความฝัน  บางคนก็ทำได้แค่ปล่อยให้ความฝันเป็นความฝันอยู่ในใจเท่านั้นด้วยเพราะบริบทที่ต่างกัน

         เมื่อแรกเกิดเราเหมือนพืชที่เพิ่งงอกจากเมล็ด ไม่ว่าเมล็ดของเราจะตกอยู่ตรงไหน  เราก็งอกเงยได้ตามภาวะแวดล้อมที่ทำให้เม็ดพร้อมที่จะงอกได้  ต่อยอดผลิใบตามสภาพ  เริงร่าท้าลมและแสงแดด เหมือนเด็กน้อยไร้เดียงสา พบโลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยสีสรรตื่นหูตื่นตา  ทุกอย่างล้วนน่าศึกษาเรียนรู้ ชีวิตเต็มไปด้วยชีวา แต่พออายุของเราฝ่านเลยเลขยี่สิบห้าปี  ดูเหมือนว่าความหวือหวาเริ่มลดลง  เริ่มเข้าสู่ความจริงจัง  เริ่มมองหาความมั่นคงให้ชีวิต  เริ่มมองหาหนทางให้ตัวเอง  แต่ส่วนมากก็มองหาหนทางสู่่ความสำเร็จหรือความฝัน  โดยที่ยังไม่มองไปถึงที่จุดสิ้นสุดของชีวิต  

         สำหรับตัวผมเองนั้นก็เช่นกัน  เริ่มตระหนักถึงจุดสิ้นสุดของเส้นทางก็ต่อเมื่อเดินผ่านครึ่งทางชีวิตมาแล้ว  บางครั้งก็สับสนเหมือนกันว่าจะเลือกใช้เส้นทางไหนดี  บางคนคนชี้ทางเดินไปทางนั้นบางคนชี้ไปทางนี้  สุดท้ายเมื่อมันไม่ใช่หรือไม่ชอบเส้นทางเราก็ต้องเปลี่ยนเส้นทางใหม่  แต่ทุกเส้นทางนั้นย่อมมีจุดจบทุกเส้นทาง  ผมจึงคิดว่าเส้นทางชีวิตของเราเราควรเลือกของเราเองว่าเราจะเดินไปทางไหน เราอยากแวะชมอะไรข้างทาง  เราอยากจะนั่งพักตรงไหน  เราอยากจะดื่มด่ำกับอะไร  จะเดินทางลัด  ทางตรงทางโค้งทางอ้อมย่อมขึ้นอยู่กับเหตุผลทางความคิดของเราในขณะนั้นเป็นสำคัญ  แนนอนว่าบางครั้งเราก็เดินผิดทางหรือหลงทางบ้างก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เพราะนั่นคือหนึ่งประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้  สิ่งที่ได้เรียนรู้และประสบการณ์ที่ได้จากทางเดินที่เราผ่านมานั้นต่างหากคือสิ่งที่เราต้องคิดว่าจะนำมาก่อให้เกิดประโยชน์กับตนหรือกับคนอื่นอย่างไร

         ความจริงแล้วเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้จุดจบของเราเป็นแบบใด  ด้วยการไม่ตั้งอยู่ในความประมาท  ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายวันนี้ก็คือจุดจบของเรา....เราคิดว่าวันนี้ของเราดีพอแล้วหรือยัง
                                                                                   
                                                                                                                 ราเมศร์  
                                                                                                              25 เม.ย. 58

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ความวางใจ
           ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2558 ผมต้องเดินทางไปเยี่ยมคุณแม่ที่ต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อให้ยาฆ่าเชื้อ เนืองจากอาการติดเชื้อที่แขน  มีอาการแขนบวมเป่ง  คุณหมอประมาณการณ์ว่าน่าจะต้องให้ยาประมาณ 1 เดือน  ผมเดินทางเข้าไปเยี่ยมคุณแม่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทุกวัน
           ด้วยความวางใจจึงเกิดเหตุนี้ขึ้นเพราะคุณแม่แขนบวมมาตั้งแต่ก่อนปีใหม่  ไปหาหมอประจำอำเภอคุณหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรน่าจะเป็นโรคข้อรูมาตอยกำเริบให้ทานยารักษาโรคข้อต่อไป เนื่องจากคุณแม่อยู่ต่างจังหวัดผมจึงได้แต่โทรถามอาการ  คุณแม่ก็บอกว่าดีขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่เจ็บไม่ปวด แต่แขนยังบวมอยู่นิดหน่อย  ก็วางใจมาเรื่อย ๆ ว่าน่าจะค่อย ๆ ดีขึ้น  จนมาถึงวันที่หมอโรคข้อนัดมาตรวจปรากฏว่าแขนของคุณแม่บวมและแดงมากกว่าเดิมประมาณสองเท่า  อาจารย์หมอจึงต้องให้นอนโรงพยาบาลเพ่ือรักษาอาการ
          อย่างไรก็ตามผมก็ต้องดำเนินชีวิตอยู่บนความวางใจต่อไป   วางใจคุณหมอทั้งหลายของคณะแพทย์ที่ร่วมกันวางแผนรักษาคุณแม่  วางใจคุณพยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคุณแม่เพราะไม่มีห้องพิเศษว่างให้เราเฝ้าดูแลตลอดทั้งวันได้  วางใจว่ารถที่เราจอดทิ้งไว้ในสวนลุมจะปลอดภัยเพราะเราหาที่จอดในโรงพยาบาลได้ลำบากเหลือเกินในแต่ละวันจึงต้องไปจอดข้างนอก
          สำหรับผมความวางใจคือทางออกทางหนึ่งของความทุกข์ใจ  เพราะถ้าเราไม่วางใจ  เราคงต้องหนักใจมากจนรับรับไว้ไม่ไหว