ณ วันหนึ่ง วันที่วันเกษียณอยู่ไกล เรานับไปข้างหน้า ชีวิตถาโถมให้กับการทำงาน แต่เมื่อถึงวัยใกล้เกษียณ เรานับถอยหลัง ชีวิตการทำงานเริ่มปล่อยวาง กรอบคิดของสองวัยสวนทางกัน แต่ก่อนเคยไม่เข้าใจว่าทำไมคนใกล้เกษียณถึงไม่ค่อยอยากทำอะไร อ้างแต่ว่าให้คนรุ่นใหม่ทำดีกว่าแล้วก็วางทุกสิ่งอย่างรวมถึงลาพักร้อนในวันลาที่เหลือตามสิทธิ์ไม่ทำงานจนถึงวันสุดท้าย ซึ่งเมื่อก่อนตอนที่ผมอยู่ในวัยที่กำลังนับไปข้างหน้าผมบอกตัวเองว่าผมจะไม่ทำแบบนี้ แต่พอถึงวันนี้วันที่ผมใกล้เกษียณผมเข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไขึ้น มีหลายเหตุผลที่คนใกล้เกษียณมักปล่อยวาง เหตุผลหนึ่งก็คือการมีกรอบคิดแบบนับถอยหลังว่าวันหนึ่งก็ย้อนถึงศูนย์ ปล่อยให้คนรุ่นใหม่ที่กำลังนับไปข้างหน้าทำดีกว่า ซึ่งจะเป็นการฝึกคนรุ่นใหม่โดยมีเราคอยเป็นพี่เลี้ยงให้ ซึ่งเขาอาจจะไม่ต้องการก็ได้ เพราะรูปแบบของการทำงานเปลี่ยนไปมากตามบริบททางสังคม คนรุ่นใหม่จะดูทีผลเชิงประจักษ์ที่เกิดขึ้นในทันทีว่าเป็นอย่างไร เขาจะไม่คาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดตามมาในอนาคตที่ยังมองไม่เห็นและเขาก็จะไม่รอเพราะโลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วซึ่งอันนี้เราเข้าใจได้ เราในฐานะคนรุ่นเก่าก็ต้องปรับตัวด้วยเหมือนกัน ต้องพัฒนาซอร์ฟสกิลด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้วสุดท้ายส่งผลอย่างไรต่อองค์กร แต่คนวัยใกล้เกษียณไม่ใช่ว่าจะต้องนับถอยหลังเสมอไป หากคุณยังนับไปข้างหน้ามันแปลว่าจะยังมีผลงานที่เกิดจากพลังของคุณไปได้อีกเรื่อยๆ แต่มันจะสอดรับกับปัจจุบันแคไหนก็อยู่ที่กรอบคิดและมุมมองของคนๆนั้น
สำหรับผมมันมีปัจจัยที่จะให้เลือกนับถอยหลังก็คือปัญหาด้านสุขภาพ วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 คือวันครบรอบห้าปีที่ผมเกิดอุบัติเหตุโดนมอเตอร์ไซด์ชนระหว่างขี่รถจักรยานข้ามถนน สมองได้รับบาดเจ็บมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองเล็กน้อย กระดูกใบหน้าและกรามหัก มีแผลถลอกตามแขนขาและลำตัวและที่สำคัญคือเส้นประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมการกรอกตาด้านซ้ายเสียการทำงานไป ทำให้ผมมองเห็นเป็นภาพซ้อนบนล่าง ปัญหาที่เกิดตามมาคือปัญหาการควบคุมการเคลื่อนไหว เวลาเดินจะมีอาการเกร็งแขนขาซีกขวา แขนขวาไม่แกว่ง ยืนตรงนิ่งๆไม่ได้นานตัวจะเกร็ง การเห็นภาพซ้อนทำให้เกิดภาวะงุ่มง่ามเวลาหยิบจับสิ่งของ และมีอาการแข็งเกร็งและแรงอ่อนระทวยเวลาที่ต้องเคลื่อนไหวเร็วๆ ทำให้ผมมีความยากลำบากในงานให้บริการฝึกผู้ป่วย ผมกลับมาทำงานโดยใช้ตัวชี้วัดเดิม ซึ่งต้องมีการปรับตัวหลายอย่างเพื่อให้ทำงานได้ เช่น ปัญหาด้านการทรงตัวและอ่อนแรงผมใช้วิธีขอความช่วยเหลือจากน้องๆที่ร่วมงานในการเคลื่อนย้ายตัวผู้ป่วย เวลาที่ต้องยืนคุยงานกับคุณหมอหรือเพื่อนร่วมงานคนอื่นผมต้องแอบเกาะโต๊ะหรือเก้าอี้เพื่อไม่ให้ขาสั่น เวลาฝึกกลืนที่ต้องมีการนวดกล้ามเนื้อรอบปากหรือป้อนอาหาร ผมจะสอนญาติหรือผู้ดูแลทำมห้ถูกวิธี เพราะการเห็นภาพซ้อนทำให้ผมทำได้ไม่ถนัด สุดท้ายก็ถึงจุดที่ผมต้องทบทวนตัวเองว่าจะนับไปข้างหน้าหรือจะนับถอยหลัง เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วยที่มารับบริการและขององค์กร ผมเลือกที่จะหยุดและเริ่มนับถอยหลัง ผมวางทุกอย่างที่เป็นงานหลักแล้วปล่อยให้มันไหลไปตามระบบและนโยบายของผู้บริหารด้วยความเชื่อมั่นว่าน้องๆคนรุ่นใหม่สามารถสานต่อไปได้ ส่วนตัวผมก็ดึงตัวเองให้อยู่กับปัจจุบันเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่แต่ไม่มีสองสามหรือสี่...พยายามมีแต่ปัจจุบัน