ฟ้าใส…
เด็กหญิงมหัศจรรย์ของพ่อ
1.คุณย่าดูหมอ
2. ชนะคู่แข่ง
3. ความรักบริสุทธิ์
4. เพื่อนแท้ของแม่
5. แม่เหล็กดูดคน
6. เชื่อมสัมพันธ์
7. พลังชีวิต
8. นับนิ้วรอวัน
9. เด็กหญิงธรรมดา
| <><>
>
| <><>
>
บันทึกฉบับนี้ ผมมีแรงบันดาลใจจากความรู้สึกดีๆ
ที่เกิดขึ้นกับชีวิต เมื่อเราได้สร้างอีกชีวิตหนึ่งให้เกิดขึ้นมา มันเป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลก
และของมนุษย์ทั่วไป
แต่มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตผม
และเชื่อว่ามันก็เป็นเรื่องใหญ่ของทุกชีวิตที่มีลูกเช่นกัน ผมจึงอยากบันทึกไว้ให้เป็นความยิ่งใหญ่ส่วนตัว
แต่ยินดีทีจะแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้คนอื่นล่วงรู้ว่ามันเป็นอย่างไร จึงบันทึกไว้แบบสั้น ๆ ในเรื่องหรือประเด็นที่เรารู้สึกได้อย่างชัดเจน
ซึ่งในความเป็นจริงมันมีความรู้สึกดีๆเกิดขึ้นเกินพรรณนาในใจของเรา จนทำให้ผมรู้สึกว่าลูกสาวของผมที่ชื่อว่าฟ้าใสเป็นเด็กหญิงมหัศจรรย์ของผม
ราเมศร์
เรืองอยู่
พ่อจ๋าของฟ้าใส
1. คุณย่าดูหมอ
หลังจากแต่งงานใหม่ ๆ
แม่เล่าให้ผมฟังว่า
มีคนมาเร่ขายของที่บ้านแล้วดูหมอให้ตามดวงชะตาวันเกิดของผม หมอดูบอกกับแม่ผมว่าลูกชายที่แต่งงานจะมีลูกตอนอายุสามสิบหก
และบอกว่าเป็นคนดีมีบุญมาเกิด
ผมฟังแล้วก็เฉย ๆ ไม่ได้คิดอะไร
ตอนนั้นผมอายุสามสิบสาม
และคิดว่าจะไม่ปล่อยให้มีลูกเพราะไม่อยากเสี่ยงกับโรคเลือดจางทาลัสซีเมีย เพราะผมกับภรรยาเป็นพาหะกันทั้งคู่ ต่อมาพออายุมากขึ้นผมกับภรรยาก็มาทบทวนความคิดกันใหม่และสุดท้ายก็ตกลงว่าจะปล่อยให้มีลูก เพราะกลัวว่าถ้าตัดสินใจช้ากว่านี้จะหมดโอกาส และจิตใจก็พร้อมที่จะเผชิญกับอะไรก็ได้ที่จะเกิดขึ้นกับลูก
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็จะเลี้ยงให้ดีตามกำลัง
ไม่คิดที่จะทำลาย เมื่อผมอายุสามสิบหกกว่า ๆ ภรรยาผมเริ่มตั้งครรภ์ ซึ่งตอนนั้นผมลืมเรื่องที่แม่ผมเคยดูหมอดูไปหมดแล้ว
2. ชนะคู่แข่ง
<><> > |
เมื่อผลตรวจของภรรยายืนยันว่าตั้งครรภ์แน่นอน ซึ่งตรวจพบการเต้นของหัวใจของเด็กในครรภ์ อีกประมาณหนึ่งเดือนต่อมาท้องของภรรยาผมก็โตขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับคลำได้เป็นก้อนกลม
ๆ อยู่ทางด้านซ้ายของท้องน้อย ก็สงสัยว่าทำไมลูกโตเร็วจังและทำไมไม่อยู่ตรงกลาง ต่อมาจึงได้ไปทำอัลตร้าซาวด์ ก็พบว่าลูกของผมมีคู่แข่งซะแล้ว เพราะพบว่ามีก้อนเนื้อที่มดลูกและมันกำลังโตขึ้นเรื่อยๆ
คาดว่าน่าจะถูกกระตุ้นจากการตั้งครรภ์
คุณหมอก็ให้สังเกตดูการเจริญเติบโต และบอกว่าไม่แน่ใจว่าก้อนเนื้องอกนี้จะไปขัดขวางการเจริญเติบโตของเด็กหรือเปล่า การลุ้นจึงมาตกอยู่ที่ผมและภรรยา
จนถึงประมาณเดือนที่หกเจ้าก้อนเนื้องอกมันก็คงที่ไม่โตขึ้น ก็ทำให้เราสบายใจขึ้นเล็กน้อย แต่ยังกังวลว่าจะมีปัญหาตอนคลอดหรือไม่ สุดท้ายก็มีปัญหาจริง ๆ เพราะใกล้ครบกำหนดคลอดแล้วลูกสาวผมยังไม่ยอมกลับหัวเลย คุณหมอบอกว่าต้องผ่าออก จึงกำหนดวันผ่าตามวันที่คุณหมอสะดวก คือวันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.
2547
3. ความรักบริสุทธิ์
<><> > |
เมื่อถึงวันผ่าคลอดคุณหมอใช้วิธีบล๊อกหลัง เมื่อออกจากห้องคลอดแล้วภรรยาก็บอกกับผมว่า " ลูกเราข้อเท้าบิด"
ภรรยาผมไม่ได้ถูกวางยาสลบจึงได้ยินเวลาทีมผ่าตัดคุยกันขณะทำการผ่า จึงเล่าให้ผมฟังว่าได้ยินคุณหมอบอกว่าไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวส่งให้หมอกระดูกเด็กดู ตอนนั้นผมบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ไม่มีความรู้สึกของความเสียใจ แต่มีความรู้สึกว่ารักลูกมากขึ้นในทันที คิดในใจว่าไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรพ่อรักลูกมากที่สุด
พ่อรับได้ในทุก ๆ แบบที่ลูกเป็น
แล้วผมก็เดินไปขอเยี่ยมลูกในช่วงเวลาที่เขาให้สิทธิ์เฉพาะผู้เป็นพ่อเท่านั้น เห็นลูกนอนหลับยิ้มอยู่ที่มุมปาก คุณพยาบาลอุ้มลูกพามาหาผม
ผมขอดูข้อเท้าลูกพร้อมกับได้สัมผัสลูกเป็นครั้งแรกด้วยการจับข้อเท้าลูกที่ผิดรูปลองจัดให้อยู่ในท่าปกติ
ผมสบายใจเมื่อเห็นว่าถ้าจับให้อยู่ในท่าปกติมันก็เหมือนเท้าปกติทั่วไป
อีกสี่วันต่อมาคุณหมอกระดูกก็เอาเฝือกปูนพันขาขวาของลูกไว้ยาวตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงโคนขา และนัดตัดเฝือกอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า
4.
เพื่อนแท้ของแม่
ช่วงที่ภรรยาใกล้คลอด
จะมีเพื่อนของเขาที่สนิทกันมาก ๆ คอยดูแลเป็นธุระจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ หลังจากคลอดแล้วก็จะมีเพื่อน ๆ
แวะเวียนกันเข้ามาเยี่ยมมากมาย
ท่าทางและกริยาต่าง ๆ ที่เขาแสดงออกกับภรรยาและลูกของผม ก็พอจะดูได้ว่าใครคือเพื่อนที่จริงใจมาก ๆ ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดทำให้รู้สึกซาบซึ้งใจในมิตรภาพอันงดงาม
และแสดงให้เห็นการยินดีต้อนรับมนุษย์ใหม่ตัวน้อย ๆ ของบรรดาเพื่อน ๆ
| <><>
>
5. แม่เหล็กดูดคน
หลังจากลูกคลอดออกมา ก็มีผู้คนมากมายมาเยี่ยมแสดงความยินดี หลายคนเราก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะมา แต่เขาก็มา บางคนอยู่ไกลมากก็ยังอุตส่าห์เดินทางมา แปลว่าเขาให้ความสำคัญกับเรามาก อันนี้เราก็รู้สึกได้ถึงความผูกพันธ์ และมิตรภาพ แต่ละคนมาเยี่ยมก็จะหอบหิ้วของเยี่ยมเล็ก
ๆ น้อยติดมือมาด้วย
ซึ่งส่วนมากเป็นของใช้สำหรับเด็ก
จนวันที่เรากลับมาบ้านต้องขนของเต็มรถเก๋ง
จัดวางอย่างดีที่ท้ายรถและล้นมาถึงเบาะหลังจนแทบไม่มีที่ให้คุณยายนั่ง เมื่อมาอยู่ที่บ้านแล้วก็ยังมีญาติ เพื่อน ๆ
และผู้ที่เคารพนับถือแวะเวียนมาเยี่ยมอยู่เสมอ
ยังซาบซึ้งใจทุกครั้งเมื่อนึกถึงสิ่งที่ทุกคนแสดงออกมาให้เห็น
6. เชื่อมสัมพันธ์
เพื่อนบ้านที่วัน ๆ
เจอหน้ากันแต่ไม่มีการทักทายกัน
ก็เข้ามาทักทายกับลูกและก็เลยมาพูดคุยกับพ่อหรือแม่ที่อุ้มลูกอยู่ เกิดความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากขึ้น บางคนเข้ามาเยี่ยมในบ้าน เมื่อพาลูกออกมารับแสงหรือเดินเล่นก็จะได้เห็นแววตาที่เป็นมิตรของผู้คนที่มองมาที่ลูก
มันชัดเจนมากเลยว่าความบริสุทธิ์ของเด็กนั้นมีพลัง ที่จะทำให้หัวใจของผู้คนที่พบเห็นอ่อนไหว ปรับลดความแข็งกระด้างลง
เกิดเป็นความอ่อนโยนในจิตใจ อยากทะนุถนอม ปกป้องดูแล และเป็นมิตร
ซึ่งแม้ว่าเขาเหล่านั้นจะไม่ได้แสดงกิริยาที่ชัดเจนกับเรา
แต่ก็สามารถเห็นได้ทางแววต
7. พลังชีวิต
เมื่อมีสมาชิกใหม่เกิดขึ้นในครอบครัว
สัญชาติญาณของพ่อแม่คือจะปกป้องดูแลลูกให้ดีที่สุด
มันจะเกิดพลังขึ้นในใจให้เราต้องสู้ชีวิตและมุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตเพื่อรองรับการเติบโตและอนาคตของลูก
เมื่อนึกถึงลูกจะเกิดพลังที่จะต้านทานความอ่อนล้าในจิตใจได้ แม้ในช่วงที่ต้องประคบประหงม
พ่อแม่ต้องอดหลับอดนอน คอยเปลี่ยนผ้าอ้อม ป้อนนม
อุ้มเมื่อร้องงอแงและผมต้องอุ้มและร้องเพลง “ลอยกระทง” คืนละหลายสิบรอบกว่าเขาจะหลับ แม้จะเหนื่อยล้าทางกาย แต่ในหัวใจมันยังมีพลังเต็มเปี่ยมที่จะดูแลลูก และความเหนื่อยล้าทั้งหลายก็หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อได้มาเล่นกับลูก ได้เห็นรอยยิ้มอันสดใส
และเสียงอ้อแอ้ของลูกที่พยายามจะคุยโต้ตอบกับเรา
8. นับนิ้วรอวัน
<><> > |
หลังจากเลี้ยงลูกเองได้สองเดือนกว่า ๆ ลูกต้องไปอยู่กับคุณยายด้วยความจำเป็นทางสภาพของสังคม คือคุณยายควรได้อยู่ตามสภาพแวดล้อมเดิมที่ต่างจังหวัด ส่วนพ่อแม่ต้องทำงานที่เดิม
และทุกคนคิดเหมือนกันคือไม่อยากจ้างบุคคลอื่นมาเป็นคนเลี้ยงดูเด็ก ความทรมานใจของพ่อแม่ก็เกิดขึ้นที่ต้องพลัดพรากจากดวงแก้วแสนรักที่เคยได้เล่นและชื่นชมทุกวี่วัน
ความเหนื่อยล้าจากการทำงานในแต่ละวันที่เคยจางหายในพริบตาเมื่อกลับมาเจอหน้าลูกที่บ้าน ตอนนี้มันยังคงอยู่แถมต้องมาเจอความห่วงหาเมื่อกลับมาถึงบ้าน สิ่งที่ทำก็คือนับนิ้วดูว่าอีกกี่วันจะถึงวันที่กำหนดว่าจะไปเยี่ยมหาลูก
ซึ่งเรากำหนดกันไว้ว่าจะกลับไปหาลูกกันเดือนละสองครั้ง
และอยู่กับลูกให้นานที่สุดก่อนที่จะขับรถกลับมาจากนครสวรรค์ถึงบ้านที่บางปูสมุทรปราการก็เกือบเที่ยงคืนทุกครั้ง
ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าเวลาที่ได้อยู่กับลูกมีความสำคัญกว่าสิ่งใด ๆ เทียบไม่ได้กับค่าน้ำมันรถที่เราต้องจ่ายและเวลาที่ต้องใช้เดินทาง
9. เด็กหญิงธรรมดา
เนื่องจากพ่อเป็นนักกิจกรรมบำบัด ได้เรียนรู้ถึงพัฒนาการ และวิธีการกระตุ้นพัฒนาการในแต่ละด้าน
พ่อจึงเลือกทางสายกลางโดยพยายามให้ลูกได้รับสิ่งที่จะเสริมสร้างการเรียนรู้และพื้นฐานทางอารมณ์
พฤติกรรม และสังคม ด้วยการกระตุ้นการรับรู้ทางการมองเห็น การรับสัมผัส การได้ยิน
การเคลื่อนไหวของข้อต่อต่าง ๆ อย่างพอเพียงและสมดุล
ไม่มุ่งด้านใดด้านหนึ่งให้มากหรือน้อยจนเกินไป
และสอนให้ลูกเกิดการเรียนรู้จากการกระทำของตน ลูกจะได้เล่นและทำในสิ่งที่ต้องการภายใต้การดูแล เหตุนี้จึงเลี้ยงลูกอย่างเด็กธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ด้วยหวังว่าเมื่อโตขึ้นลูกจะเป็นคนที่สามารถปรับตัวได้กับทุกภาวะที่เข้ามากระทบชีวิต
| <><>
>
การเลี้ยงลูกของผมนั้นมันไม่เป็นไปตามทฤษฎีที่อยากจะให้มันเป็น เพราะจริง ๆ
แล้วชีวิตมีองค์ประกอบหลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตมาก โดยเฉพาะเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดคือ อารมณ์
ความรู้สึกนึกคิดของตัวเราเอง
รวมถึงอุปนิสัยพื้นฐานหรือสันดานที่มันเกาะติดตัวเรามาจนยากที่จะสลัดมันออก
จนทำให้ผมมีเรื่องที่อยากจะแบ่งปันประสบการณ์เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับทุกท่าน เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกของผม และผมก็จะเขียนในตอนต่อไป
ขอบคุณท่านที่อ่านบันทึกของผม ผมเชื่อว่าคงจะมีความรู้สึกดีๆบางอย่างเกิดขึ้นในใจท่าน
นั่นแสดงว่าผมบรรลุวัตถุประสงค์ของผมแล้วครับ หากท่านอยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผมก็ยินดี
กรุณาติดต่อตามที่อยู่ของจดหมายนี้นะครับ