พ่อเมศ…พ่อมหัศจรรย์ของฟ้าใส
1. รับลูกมาอยู่ด้วย
2 ลูกติดเอว
3. ลูกร้องตาม
4. พาลูกไปโรงเรียน
5. ฟ้าผ่าในรถ
6. เวลาแปดนาฬิกา
7. สิ่งที่พ่อรู้และสิ่งที่พ่อทำ
8. อยากแบ่งปัน
9. อย่าตีลูก
10. สิ่งที่ควรจะเป็น
คำนำ
ผมเขียนเรื่องนี้โดยมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของตนเองให้กับคนอื่นที่อาจมีความคล้ายกัน
ที่ต้องจัดการกับชีวิตในบางเรื่อง
จะได้เกิดการเรียนรู้ทางลัดและนำไปปรับใช้ได้ โดยไม่ต้องปล่อยหรือรอให้มันเกิดกับตนเอง เพราะบางเหตุการณ์ถ้าหลีกเลี่ยงได้
ไม่ปล่อยให้มันเกิดก็น่าจะดีกว่า โดยระลึกถึงเหตุการณ์ของผมที่จะเล่าสู่กันต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง งานเขียนนี้ไม่เน้นสำนวนแบบงานเขียน ไม่มีคำที่ยืดยาวหรืออารัมภบทอะไรมากมาย หยิบยกมาแต่แก่นสำคัญที่อยากจะชี้ให้เห็น อาจจะอ่านไม่สนุกและเพลิดเพลิน แต่ต้องใช้สมาธิที่จะเข้าใจมาก เพราะจะเขียนเนื้อหาเข้าถึงสาระสำคัญเร็วและตรงเลย
ผมไม่ได้ต้องการมุ่งจะบอกว่าผมจัดการได้ดีอย่างไร แต่ผมเสียใจกับการกระทำหรือแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดี
ที่ผมไม่ควรจะทำแต่ก็ทำไปแล้ว
และอยากให้คนอื่นได้อ่านเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจเมื่ออยู่ในสถานการณ์คล้ายกัน
แต่ละคนถูกเลี้ยงมาแตกต่างกัน
ในวันเด็กเราซึมซับสิ่งที่พ่อแม่กระทำต่อเรามาโดยที่ไม่รู้ตัว จากการได้ซักถามพูดคุยกับหลาย ๆ คนเรื่องการเลี้ยงดูลูกมักจะถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ถ้าพ่อแม่ถูกเลี้ยงมาด้วยวิธีเดียวกัน เช่น ไม่ใช้ความรุนแรงหรือตีลูกเลย ลูกของเขาก็จะไม่โดนตีเลย ถ้าพ่อถูกเลี้ยงแบบไม่โดนตี แต่แม่ถูกเลี้ยงมาแบบโดนตี ลูกก็มีโอกาสที่จะโดนแม่ตี(ผมไม่ได้สืบค้นว่ามีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังหรือยัง) ผมอยู่ในกลุ่มที่ถูกเลี้ยงมาแบบโดนตี
แต่ไม่ต้องการใช้วิธีนี้กับลูกจึงทำให้ผมมีปัญหาเวลาที่ไม่สามารถควบคุมสิ่งที่ถูกฝังอยู่ในตัวตนได้ และผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เหมือนอย่างที่คนส่วนใหญ่เป็น
แล้ววันหนึ่งก็มีเหตุการณ์ที่สะท้อนให้เราต้องทบทวนตัวเอง มันเหมือนเรียกสติเรากลับมา ให้เราพิจารณาว่าเราควรทำอะไร อย่างไร ถ้าเราต้องการให้เกิดสิ่งดี เราจะจัดการสิ่งร้ายอย่างไร เมื่อลูกสาวผมทำให้ผมรู้สึกได้ว่าเขาเป็นเด็กหญิงมหัศจรรย์ที่การเกิดมาของเขา สามารถเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัวได้ ผมก็อยากจะเป็นพ่อมหัศจรรย์ของลูก ที่สามารถเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ
อย่างรอบตัวได้เช่นกัน
ด้วยเรื่องราวต่อไปนี้
ราเมศร์ เรืองอยู่
พ่อเมศ..พ่อจ๋าของฟ้าใส
1.
รับลูกมาอยู่ด้วย
ผมเป็นพ่ออีกคนที่ต้องเลือกวิธีทิ้งลูกไว้กับคนเฒ่าคนแก่ที่ต่างจังหวัด
เหตุผลของผมคือไม่สามารถอยู่กันสามคนพ่อแม่ลูกได้ เมื่อพ่อแม่ต้องแยกกันไปทำงานแล้วเจ้าตัวเล็กจะอยู่กับใคร จ้างเขาเลี้ยงนะหรือ คำตอบเดียวคือไม่วางใจ จะเอาตาหรือยายมาเลี้ยงก็ไม่อยากทรมานคนแก่ที่คุ้นเคยกับวิถีชิวิตแบบต่างจังหวัด แล้วต้องมานั่งอุดอู้อยู่ในบ้านที่มีลักษณะเป็นซอง
ๆ อย่างทาวน์เฮ้าท์หลังเล็ก ๆ กับคนข้างบ้านที่ไม่คุ้นเคย ผมยอมแลกเหตุผลนี้กับความคิดถึง ความห่างเหิน
และสิ่งที่จะต้องสูญเสียอีกหลาย ๆ อย่าง
ที่ประมาณค่าไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องของความรู้สึกและหัวใจ แต่ในใจคิดตลอดเวลาว่าอยากรับลูกมาอยู่ด้วยกัน แล้ววันหนึ่งเมื่อลูกอายุใกล้สามขวบสามารถเข้าเตรียมอนุบาลได้แล้ว
เราก็มีเหตุผลพอที่จะไปพรากหลานรักออกมาจากอกยาย งานนี้ไม่มีใครรู้สึกแฮบปี้แม้แต่คนเดียว
แต่มันก็เป็นวิถีที่ต้องเลือกเพื่อวางพื้นฐานชีวิตที่คิดว่าดีให้ลูกน้อย สิ่งที่ผมอยากจะบอกในตอนนี้ก็คือ
ถ้าเป็นไปได้จัดครอบครัวให้ได้อยู่พร้อมกันพ่อแม่ลูกตั้งแต่แรกเถอะ และจะดีมากขึ้นอีกถ้ามีปูย่าตายายมาอยู่ด้วย เมื่อผมรับลูกมาอยู่ด้วยแต่ตายายไม่ได้ตามมาเลี้ยง ผมจึงต้องลำดับความสำคัญของเวลาใหม่ และเลือกที่จะให้เวลาแก่ลูกให้มากที่สุด ผมอยากเลี้ยงลูกด้วยเวลามากกว่าใช้เงินทองเลี้ยง ผมจึงต้องปรับการดำรงชีวิตใหม่ด้วยการทำงานน้อยลง เพื่อเอาเวลามาอยู่กับลูก ยอมสูญเสียรายได้จากการทำงานเสริมแล้วหันมาใช้ชีวิตแบบพอเพียง
เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกมีภาวะจิตใจที่เข้มแข็งสมบูรณ์พร้อมเผชิญโลกกว้างในอนาคต และหวังลึก ๆว่า
เมื่อถึงเวลาในอนาคตลูกคงไม่ดูแลเรายามชราภาพด้วยเงินเช่นกัน
2 ลูกติดเอว
ด้วยสภาพวิถีชีวิตที่ผมมีเวลาอยู่ที่บ้านมากกว่าภรรยาที่ต้องออกไปทำงานตั้งแต่เช้ามืดและกลับถึงบ้านจนเย็นค่ำ
ทำให้เกือบตลอดเวลาที่ผมอยู่บ้านจะมีลูกติดอยู่ที่เอว ดูเขาจะมีความสุขที่ได้เกาะอยู่บนเอวของพ่อ ไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ตาม
ถ้าผมวางเขาลงผมก็จะเห็นเด็กสูงเหนือเข่าผมเล็กน้อยยืนชูมือสองข้างและขยับขาทั้งสองด้วยไปมา พร้อมกับพูดแบบงอนง้อว่า “พ่ออุ้ม ๆ”
วิธีคิดของผมคืออุ้มก็ได้เพราะอีกหน่อยเขาโตขึ้นผมก็อุ้มไม่ไหวแล้ว เด็กคงต้องการการรับสัมผัสและความมั่นใจ และต้องการที่จะเห็นโลกในมุมมองเดียวกับผมด้วยระดับสายตาที่สูงพอกัน
แต่อะไรก็ตามที่มันขาดสมดุลหรือมากเกินไปย่อมไม่เป็นผลดี ผมมีวิธีคิดที่จะอุ้มลูกอย่างมีความสุข
แต่เมื่อต้องอุ้มลูกทำกับข้าวในเวลาที่เร่งรีบตอนเช้า เวลาเอาเสื้อผ้าใส่เครื่องซักผ้าและเอาออกตาก เวลากวาดถูบ้าน
และเวลาดื่มกาแฟที่ผมต้องการผ่อนคลายและปล่อยอารมณ์ไปกับกลิ่นหอมกรุ่น คำถามว่า “ทำไม?”มันก็เกิดขึ้น ผมใช้วิธีปล่อยให้เวลามันผ่านไปก่อนพร้อมกับคำถามว่า
“ทำไม?” แล้วสุดท้ายผมก็ได้คำตอบเดิม ๆ
คือ “เพราะเขาเป็นลูกของเรา” และเมื่อนั้นผมก็จะหมดคำถาม
3.
ลูกร้องตาม
ตอนที่ผมรับลูกมาอยู่ด้วยนั้นเขาอายุเพิ่งจะสองขวบกว่า ๆ
จึงยังไม่ได้พาไปเข้าเรียน
รอให้ทางโรงเรียนเปิดรับเด็กเล็กชั้นเตรียมอนุบาลก่อน
จึงต้องให้คุณตามาอยู่ด้วยเพื่อช่วยเลี้ยงหลานเวลาที่ผมและภรรยาไปทำงาน ชีวิตประจำวันของผมก็คือตอนเช้าเมื่อลูกตื่นมา เขาก็จะเจอพ่อกับคุณตาเพราะแม่ไปทำงานตั้งแต่เช้ามืดแล้ว แต่ลูกก็จะเลือกที่จะอยู่กับผมไม่ยอมอยู่กับคุณตา
จึงเป็นที่มาของการที่ต้องมีลูกติดเอวตลอดเวลาในการทำงานบ้าน
หรือเวลาที่ต้องเตรียมอาหาร
มีอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ทำให้ผมเห็นภาพอยู่ในความทรงจำตลอด คือเวลาที่ผมไปทำงานแล้วลูกยืนเกาะประตูร้องให้ตาม
พร้อมกับตะโกนเรียก “พ่อจ๋า ๆ ”
มันยิ่งใหญ่สำหรับผมผู้เป็นพ่อที่เหมือนกับต้องฝืนใจพลัดพรากลาจากคนที่เรารักที่สุด ถึงแม้จะต้องจากกันเพียงชั่วไม่กี่ชั่วโมง แต่ ณ ขณะเวลาที่เหลือบไม่มองลูกยืนร้องให้อยู่นั้นมันทรมานเหมือนต้องจากกันแรมปี ผมได้รับความรู้เพิ่มเติมในภายหลังว่าเด็กเล็กจะยังไม่สามารถกะระยะเวลาได้ว่าที่พ่อบอกว่า
“เดี๋ยวตอนเย็นพ่อก็กลับมาแล้ว” นั้นมันนานขนาดไหน ลูกเขาไม่รู้หรอกว่าเราจะกลับมาเมื่อไหร่ ลูกจึงกลัวว่าเราจะไม่กลับมาอีก เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ผมจะต้องออกไปทำงานคุณตาจึงใช้วิธีแยกลูกออกไปจากผมแล้วพาไปขี่จักรยานเล่นนอกบ้าน
หรือพาไปสนามเด็กเล่น มันช่วย
ไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมแห่งการพลัดพรากได้ แต่มันก็เกิดความรู้สึกทีแย่อีกอย่างหนึ่ง คือลูกกลับเข้าบ้านแล้วหาพ่อไม่เจอก็จะร้องให้หาพ่ออีกว่าพ่อหายไปไหน ซึ่งสิ่งที่ผมอยากให้มันเป็นก็คือก่อนผมออกไปทำงานผมเข้ามาอุ้มลูกหอมแก้มทั้งสองข้างแล้วบอกว่า
“พ่อไปทำงานก่อนนะลูก
เดี๋ยวตอนเย็นเจอกันนะ”
แล้วผมก็ขับรถออกไปพร้อมกับลดกระจกมาโบกมือบ้ายบายกับลูกที่ยิ้มและโบกมือพร้อมส่งจูบให้ผมเช่นกัน ผมอยากให้ลูกได้เห็นความจริง ผมจึงบอกคุณตาว่าไม่ต้องพาลูกหนีไปไหนเวลาที่ผมจะออกไปทำงาน และผมก็ทำอย่างที่ผมอยากให้มันเป็นแต่ต่างกันตรงที่เวลาที่ผมโบกมือบ้ายบายลูกร้องให้และตะโกนว่า
“พ่อจ๋า ๆ” ไม่ได้โบกมือแล้วส่งจูบอย่างที่อยากให้เป็น
4.
พาลูกไปโรงเรียน
เมื่ออายุของลูกเกือบครบสามขวบ เราก็พาลูกไปสมัครเข้าเรียนชั้นเด็กเล็กเตรียมอนุบาลที่โรงเรียนเอกชนใกล้
ๆ บ้านและใกล้ที่ทำงานของผม
เหตุผลที่เลือกโรงเรียนนี้เพราะอยู่ใกล้ที่สุด
ผมไม่อยากเห็นภาพตัวเองและลูกต้องตื่นแต่เช้าแล้วโกลาหลอยู่บนถนนที่จะไปโรงเรียน
อยากให้ลูกได้พักผ่อนได้เต็มที่ เพราะครอบครัวเราไม่สามารถนอนตั้งแต่หัวค่ำได้เนื่องจากภรรยาผมต้องทำงานนอกเวลา
ผมกับลูกต้องไปรอรับกว่าจะกลับเข้าบ้านก็สามทุ่มกว่าแล้ว เราจึงได้นอนกันตอนสี่ทุ่มกว่า ๆ
ก่อนจะให้ลูกเข้าโรงเรียน
เราใช้วิธีพูดเชิงบวกอยู่ประมาณหนึ่งเดือนว่าการไปโรงเรียนดีอย่างไร
เช่น ลูกจะได้แต่งชุดนักเรียนน่ารัก ๆ
เหมือนพี่คนนั้นคนนี้(คนที่เป็นไอดอลของเขา)
จะได้เจอเพื่อนและเจอคุณครูที่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ที่เป็นด้านดีทั้งหมด พาไปซื้อชุด
พาไปดูโรงเรียน บอกกับญาติพี่น้องเพื่อให้ลูกได้ยินคำว่า
“จะได้ไปโรงเรียนแล้วเหรอ” แล้วรู้สึกว่าการไปโรงเรียนมันเป็นเรื่องพิเศษสำคัญสำหรับเขา
เมื่อถึงวันแรกที่ต้องไปโรงเรียนจริง ๆ
ก็เป็นไปอย่างที่เราต้องการคือลูกตื่นเต้นดีใจที่จะได้ไปโรงเรียน รีบแต่งตัวโดยที่ไม่มีอาการอิดออดเลย เมื่อไปถึงโรงเรียนผมก็กอดเขาแล้วบอกว่าเดี๋ยวตอนเย็นพ่อจะมารับกลับบ้านนะเนื่องจากเป็นวันแรก ๆ
คุณครูก็ขอให้ผู้ปกครองมารับเร็วกว่าปกติหน่อย
เราก็ไปรับเขาตรงเวลาทุกวันเพื่อให้เขามั่นใจว่าจะมีคนมารับเขากลับบ้านอย่างนี้ทุกวัน อย่างที่ผมได้บอกไปแล้วว่าเด็ก ๆ
จะยังไม่สามารถกะระเวลาได้
เขาจึงกลัวการพลัดพราก
เขาไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรเขาจะได้เจอกับพ่อแม่อีก ผมคิดว่าด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดโศกนาฏกรรมเล็ก
ๆ ที่หน้าโรงเรียนทุกวัน
เสียงร้องกระจองอแง
กับภาพพ่อแม่ยืนเกาะรั้วคอยดูลูกร้องด้วยตาละห้อยก่อนที่จะตัดใจทิ้งลูกไว้กลับคุณครูแล้วรีบเดินออกมาพร้อมกับปาดน้ำตาไปด้วย พ่อแม่บางคนใจอ่อนก็ต้องสละเวลาอยู่เป็นเพื่อนลูกที่โรงเรียนซึ่งสุดท้ายก็ไม่พ้นชะตากรรมเดียวกัน มันเป็นประสบการณ์แห่งความทรงจำสำหรับเด็ก
ซึ่งตัวผมเองก็ยังจำติดจาจนถึงบัดนี้ว่าเมื่อตอนเด็ก ๆ
คุณแม่ผมต้องไปนั่งเฝ้าผมอยู่เป็นเดือนเหมือนกัน
พอเผลอหันกลับไปอีกทีแม่หายไปแล้วผมก็ได้แต่นั่งร้องไห้ไม่เป็นอันเรียนหนังสือ และก็ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับลูกของตัวเอง จึงใช้วิธีตามที่บอกไว้
อาทิตย์แรกเป็นไปตามที่คาดหวังแต่พออาทิตย์ที่สองลูกคงจะเห็นแล้วว่ามันไม่ได้ดีเลิศตามที่พ่อแม่พูดไว้ก่อนหน้านี้ ลูกเริ่มอิดออดไม่ยอมแต่งตัว
บางวันไปถึงโรงเรียนนั่งร้องไห้ไม่ยอมลงจากรถต้องกอดและปลอบกันอยู่พักใหญ่จึงยอม และจากการที่ลูกอิดออดไม่
กระตือรือร้นที่จะไปโรงเรียน มันทำให้เกิดเรื่องร้ายๆ ระหว่างพ่อลูกที่ผมอยากจะเล่าให้ฟังเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในตอนต่อไป
5.
ฟ้าผ่าในรถ
หลังจากลูกได้เข้าเรียนได้ประมาณหนึ่งปี เหตุการณ์เลวร้ายก็เริ่มเกิด บางวันระหว่างการเดินทางไปส่งลูกที่โรงเรียนจะเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายระหว่างลูกกับผม
เมื่อผมมีอาการหงุดหงิดจนถึงขีดสุดที่ไม่สามารถยับยั้งตนเองได้ ผมจะตะโกนเสียงดังมากใส่ลูกยังกับเสียงฟ้าผ่าจนเขาตกใจ ผมไม่ได้ใช้วาจาหยาบคาย แต่มันเป็นการบ่นที่ใช้ระดับเสียงดังมาก ๆ
ถึงสาเหตุที่ทำให้ผมไปไม่ทันเวลาทำงาน
มันไม่เป็นไปตามเวลาที่ผมประมาณการณ์ไว้เนื่องจากอิดออดในการอาบน้ำ
ดื่มนม กินข้าว
ต้องพูดกับลูกหลายรอบมากเพื่อให้เขาลงมือทำอย่างใดอย่างหนึ่ง จนผมต้องตั้งชื่อประชดเขาว่าน้องลีลาวดี
ซึ่งพอเขาเข้าใจความหมายมันจึงเป็นชื่อที่เขาไม่ชอบมาก ๆ
เวลาที่ผมเรียกชื่อนี้กับเขาเขาจะมีปฏิกิริยาทันที
สิ่งที่เตือนสติผมหลังจากเกิดเหตุการณ์ฟ้าผ่าในรถคือ
อาการเจ็บเส้นเสียงขึ้นมาทันทีทันใด
มันทำให้ผมต้องหยุดและทบทวนตัวเองว่าไม่ควรทำอย่างนี้
แต่เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดแค่ครั้งเดียว เมื่อผมมีสติผมก็พยายามหาสาเหตุ
และคิดว่าเกิดจากความเครียดสะสมของตัวเราเอง จากภาวะบีบคั้นหลาย ๆ ด้าน
6.
เวลาแปดนาฬิกา
จากเหตุการณ์ฟ้าผ่าในรถเพียงไม่กี่ครั้ง สิ่งที่ผมคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นคือ
ลูกเขาโยงเสียงเพลงชาติไทยที่เปิดทางวิทยุกับเวลาที่เลวร้ายที่เกิดขึ้นในรถ
เมื่อวันหนึ่งขณะขับรถเข้าไปในซอยของโรงเรียนซึ่งเป็นเวลาแปดโมงเช้าพอดี
เสียงเพลงชาติไทยจากวิทยุก็ดังขึ้น
ลูกสาวผมเอานิ้วมาอุดหูทั้งสองข้างทันที
มันสะท้อนใจผมมากเลยว่าผมได้ทำสิ่งที่ทำให้ลูกเกิดการฝังใจในทางที่เลวร้าย
ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่เคยยกเรื่องเวลามาบ่นอีกเลย
และพยายามเชียร์ให้ลูกร้องเพลงชาติคลอไปกับวิทยุ ซึ่งต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าลูกจะยอมร้องตาม แต่ร้องแบบไม่อยากจะร้อง และมันทำให้ผมเศร้าใจมากเมื่อนึกถึงตอนที่เขาหัดร้องเพลงชาติในขณะที่เขามีอายุประมาณสองขวบ
มันเป็นเพลงชาติที่เขาร้องออกเสียงผิดเพี้ยน
แต่ทำนองถูกต้อง
และเป็นเพลงชาติที่ไพเราะที่สุดที่ผมเคยได้ยิน และผมก็ได้เก็บเป็นคลิบเสียงเอาไว้ด้วย
7.
สิ่งที่พ่อรู้และสิ่งที่พ่อทำ
ในบางครั้งเราก็รู้นะว่าการที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดีนั้นต้องทำอย่างไร แต่สุดท้ายด้วยหลาย ๆ
ปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบ
ทั้งปัจจัยภายนอกที่เป็นเหตุการณ์แวดล้อม
และปัจจัยภายในที่เป็นเรื่องความเครียด ความกดดัน
ก็ทำให้เราไม่สามารถทำในสิ่งที่เรารู้ได้
กลับกลายเป็นการทำตามอารมณ์
ผมเชื่อว่าทุกคนมีความสามารถในการสะกดกั้นอารมณ์ได้ไม่เท่ากัน แต่กับการเลี้ยงลูกผมอยากให้คุณฝึก
เพราะถ้าคุณได้ทำพฤติกรรมที่คุณรู้ว่ามันไม่ควรทำ เช่นการกาวร้าวกับลูก
ยิ่งทำเยอะเท่าไหร่มันก็จะยิ่งฝังอยู่ในตัวลูกคุณมากเท่านั้น ซึงตัวผมเองได้เห็นภาพสะท้อนจากการเล่นของลูก
เขาเล่นเปลี่ยนบทบาทจากลูกมาเป็นแม่และกำลังดุลูกที่ทำนิสัยไม่ดี
แต่ปรากฏว่าถ้อยคำที่ออกมานั้นมันเป็นคำพูดของเราชัด ๆ ชัดเจนว่าเขาบันทึกไว้ในสาระบบความจำเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอว่าจะเอาออกมาใช้จริงเมื่อไหร่เท่านั้นเอง และทำให้ผมเห็นชัดเจนเลยที่คนเขาพูดกันว่าการสอนเด็กจะเกิดผลเมื่อสอนด้วยการกระทำของพ่อแม่หรือผู้ใกล้ชิดมากกว่าการสอนด้วยคำพูด ฉะนั้นถ้าเรารู้แล้วว่าควรทำอย่างไรแต่เราไม่ได้ทำ หรือเราทำในสิ่งที่มันไม่ตรงกับที่เรารู้
เมื่อลูกของเราโตขึ้นเขาก็จะทำเหมือนอย่างที่เราทำนั่นแหละ
8.
อยากแบ่งปัน
คนเราเกิดมามีบริบทของครอบครัวที่ต่างกัน
ถูกเลี้ยง ถูกสั่งสอน และถูกปลูกฝังมาต่างกัน
แต่ในที่สุดพวกเราก็ต้องมาอยู่ในสังคมเดียวกัน มีกิจกรรมสังคมคล้าย ๆ กัน
จึงทำให้เกิดข้อแตกต่างอย่างมากมายของพฤติกรรมของคนในสังคมเดียวกัน และก็จะเห็นได้ว่าเรามีพฤติกรรมที่สังคมยอมรับได้ และพฤติกรรมที่สังคมยอมรับไม่ได้
ซึ่งมันก็ทำให้เรารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ อะไรคือสิ่งที่ไม่ควรทำ
สำหรับผมจึงอยากจะบอกเล่าแบ่งปันประสบการณ์ถึงสิ่งที่ผมไม่ควรทำ แต่ได้ทำไปแล้ว เพื่อให้เกิดสังคมใหม่ คือสังคมที่มีคนส่วนใหญ่ทำในสิ่งที่ควรทำ
ผมเชื่อว่าการแลกเปลี่ยนเรียนรู้สามารถพัฒนาตัวเราได้
ผมเองก็อาศัยการได้ยินได้ฟังเรื่องราวการเลี้ยงลูกจากหลาย ๆ คน หลาย ๆ ครอบครัว ชื่นชมพ่อแม่บางคนที่เลี้ยงลูกได้ดีมาก และก็ใช้เป็นแรงบันดาลใจให้ตนเอง ส่วนเรื่องเลวร้ายก็ใช้เตือนสติตัวเองว่าอย่าทำแบบนั้นเลย อย่าทำเรื่องร้ายเหมือนกับที่ผมทำ
9.
อย่าตีลูก
ณ วันนี้ลูกผมอายุหกขวบกว่า ๆ แล้ว เขายังมีความน่ารักสดใส เริ่มดื้อตามประสาเด็กที่มีเหตุผลแบบเด็ก ๆ
ยังชอบมานั่งบนตักผม
และผมก็มักจะผลักออกเพราะตัวเขาหนักแล้ว
แต่ส่วนมากจะยอมให้เขานั่งมากกว่าเพราะรู้ว่า
อีกไม่กี่ปีเขาก็โตเกินกว่าที่จะขอนั่งตักผมแล้ว และทุกครั้งที่เห็นลูกสดใส เริ่มโต เริ่มมีเหตุผล ก็จะนึกย้อนไปว่าเมื่อตอนที่เขายังเล็กมาก ๆ
ไม่มีเหตุผลใด ๆ นอกจากความไร้เดียงสา ช่วงที่ลูกดื้อไม่ยอมแต่งตัวไปโรงเรียน ผมเคยหงุดหงิดโมโหและก็ตีลูก ผมตีลูกทำไม
ผมทำลงไปได้อย่างไร ผมได้ปลูกฝังอะไรร้าย
ๆ ให้กับลูกบ้าง
เพราะฉะนั้นขอให้พ่อแม่ตั้งสติเถอะครับ
พยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ได้
กลับมามองที่ตนเองก่อนที่จะลงโทษลูก
ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดเรื่องร้าย ๆ
จนต้องทำโทษนั้นเรามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร
ตั้งสติคิดให้ดีจะเห็นว่าเรานี่แหละที่เป็นต้นเหตุ อย่างน้อยก็คือเราดูแลเขาดีพอหรือยัง
อย่างมากก็คือเราบริหารจัดการตัวเองได้ดีพอหรือยัง
10.
สิ่งที่ควรจะเป็น
ในความคิดของผม ผมก็ยังต้องการเพียงให้ลูกของผมเป็นเด็กหญิงธรรมดา
ๆ คนหนึ่ง ที่มีความมหัศจรรย์ ตรงที่เขาสามารถทำให้ผู้คนแวดล้อมได้คิด ได้ทบทวน
ได้เรียนรู้ และได้มีความรู้สึกดี
ๆ หรือ อยากจะทำสิ่งที่ดีกว่า
หรือสุดท้ายได้ทำสิ่งที่มันดีกว่า
อย่างน้อยคนแวดล้อมคนนั้นก็คือตัวผมเอง
และไปสู่คนอื่น ๆ ด้วยการแบ่งปันเรื่องราวไปจากผม
พ่อแม่แต่ละคนก็คงจะมีวิธีการจัดการกับการเลี้ยงลูกด้วยรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามสภาวะแวดล้อมและปัจจัยภายนอกภายใน แต่ถ้าเราลองถามตัวเองดูว่าเราให้ลูกเกิดมาทำไม?
....เราจะรู้สึกได้ถึงความรับผิดชอบต่อชีวิต
เราอยากให้ลูกเรามีนิสัยอย่างไร? ....และเรา
อยากให้เขามีพฤติกรรมอย่างไร?.....เราจะเห็นว่าตัวพ่อแม่ที่เลี้ยงดูนี่แหละคือผู้ที่หล่อหลอมชีวิตลูก ฉะนั้นสิ่งที่ควรจะเป็น ก็ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ว่าต้องการให้มันเป็นอย่างไร แล้วก็ทำในสิ่งที่ควรจะทำ ซึ่งสำหรับผมผู้เป็นพ่อธรรมดาๆ คนหนึ่ง กำลังพยายามทำในสิ่งที่ควรทำ และพบว่าเมื่อใช้สติ
สิ่งที่ต้องพยายามมันก็กลายเป็นเรื่องที่สามารถจัดการได้ง่าย ๆ แต่สุดท้ายต้องไม่เอาตัวเองเป็นใหญ่นะครับ เพราะเรื่องบางเรื่องมันเป็นเรื่องเล็ก ๆ
ของพ่อ แต่เป็นเรื่องใหญ่ของลูก เช่น ฟันน้ำนมซี่แรก
ของลูกหักเราบอกกับลูกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดานะลูก แต่เมื่อได้เห็นอากัปกิริยาและพฤติกรรมของลูกสาวเมื่อฟันน้ำนมซี่แรกของเขาหัก ผมจึงรู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดาสำหรับเด็กเลยนะครับ สุดท้ายจึงอยากบอกว่า เมื่อเราเห็นว่าลูกคือแก้วตาดวงใจของเรา
เราก็ต้องมองให้เห็นเหมือนกันกับที่ลูกเห็น และให้มีความรู้สึกเหมือนกันกับที่ลูกรู้สึกด้วยเช่นกัน
เป็นคุณพ่อตัวอย่างได้เลยนะครับ
ตอบลบ