วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555


โรงเรียนชีวิต....กับโอกาสในการเรียนรู้

                                                                                                    โดย...ราเมศร์  เรืองอยู่






                  เมื่อวันที่ 21 – 22 เมษายน 2555  ในช่วงสาย ๆ ของวันที่ร้อนระอุ  ข้าพเจ้าพาครอบครัวประกอบด้วยภรรยาและลูกสาววัยเก้าขวบย่างกรายเข้าไปสัมผัสชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่คุ้นชินตามคำแนะนำของบุคคลท่านหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าขออนุญาตเรียกท่านว่า อาจารย์มณีวรรณ  กมลพัฒนะ    ที่ ๆ ข้าพเจ้าไปก็คือ มูร่าห์ฟาร์ม  เป็นฟาร์มควายนมแห่งแรกของไทย  ซึ่งอยู่ที่อำเภอแปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา  และในการเดินทางครั้งนี้ข้าพเจ้าไปฟร้อมกับเพื่อร่วมงานอีกสี่คน   ข้าพเจ้าทราบแต่เพียงว่าอาจารย์มณีวรรณต้องการให้ไปดูเกี่ยวกับโรงเรียนชีวิต  แต่ก็ไม่ทราบว่าโรงเรียนมันเป็นอย่างไรและยินดีที่จะไปด้วยเหตุผลว่าเป็นโอกาสที่จะได้เจอและพูดคุยกับอาจารย์หลังจากที่ไม่ได้เจอกับท่านนานประมาณสองปีแล้ว  และจะได้พาครอบครัวไปเที่ยวดูพาร์มความนม   โดยเฉพาะลูกสาวที่อยากให้ได้ไปรับประสบการณ์ที่แปลกใหม่  และสุดท้ายที่ต้องได้แน่

                                    
            หลังจากทานอาหารกลางวันที่แม่บ้านที่ฟาร์มปรุงให้ใหม่ ๆ ร้อน ๆ แล้ว   ข้าพเจ้าก็มีโอกาสเดินสำรวจรอบ ๆ ฟาร์ม  รวมถึงลงไปสัมผัสเจ้าควายที่กระจายอยู่ตามคอกต่าง ๆ ซึ่งไม่ทราบว่าแบ่งอย่างไร  เพราะเป็นการเดินดูตามอัธยาศัยไม่มีไกด์แนะนำ  ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนมากทำให้เดินดูอยู่ได้ไม่นานก็กลับมานั่งในอาคารและสนทนากับอาจารย์มณีวรรณ  ซึ่งวันนี้ท่านมากับน้องชายคืออาจารย์หมอไพโรจน์  และลูกชายของท่านคือคุณกมล  อาจารย์ก็พูดให้ฟังว่าอาจารย์จะทำโรงเรียนชีวิตและมีเอกสารให้เรา  ซึ่งมีหลัก และสูตรในการเรียน  สรุปได้ว่าเป็นโรงเรียนที่หากเราปฏิบัติตามหลักและสูตรนี้แล้วสุดท้ายจะเกิดมุมมองของการดำเนินชีวิตที่มุ่งเน้นเรื่องของความสมดุลที่จะอยู่กับธรรมชาติอย่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน  การใช้ประโยชน์สูงสุดจากธรรมชาติโดยทำลายธรรมชาติน้อยที่สุด  และใช้ปัญญาที่เกิดจากการฝึกปฏิบัติผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน  สุดท้ายเราจะสามารถผลักดันวิถีปฏิบัติผ่านช่องทางของแต่ละสาขาอาชีพไปสู่บุคคลอื่น ๆที่มีความพร้อมตามบริบทของแต่ละคน

             อาจารย์ได้กล่าวถึงเรื่องสภาวะของโลกที่เปลี่ยนแปลงว่าเราจะรับมือกับมันอย่างไร   การเมืองที่ผันผวนระดับโลกและระดับประเทศที่มีผลประโยชน์แอบแฝงหรือความไม่รู้จักพอเป็นพื้นฐาน    สุดท้ายก็จะส่งผลกระทบมาที่ตัวเราอย่างเลี่ยงไม่ได้  ผ่านทุก ๆ ทาง  ทั้งธรรมชาติ ทางสังคม และเศรษฐกิจ    อาจารย์พูดถึงวิถีการกินที่มุ่งเน้นเรื่องการรักษาความบกพร่องของการทำงานของเซลร่างกาย  เนืองจากอาจารย์เป็นโรคหลอดเลือดสมองทำให้มีอาการเป็นอัมพาตครึ่งซีกซ้ายของร่างกาย  ด้วยความที่เป็นนักวิทยาศาสตร์และเชี่ยวชาญเรื่องเคมี   อาจารย์จึงเลือกวิธีรักษาด้วยการรับประทานอาหารที่เป็นคุณกับความต้องการของร่างกายจริง ๆ ภายใต้การกำกับดูแลของนายแพทย์สุชาติ  ซึ่งอาจารย์ต้องไปปรับสมดุลร่างกายทุกสัปดาห์  และอาจารย์ก็พิสูจน์ด้วยตนเองแล้วเห็นว่าระบบการทำงานของร่างกายดีขึ้นจริง  เช่น ระดับความดันเลือดเป็นปกติโดยที่ไม่ต้องใช้ยาปรับความดัน     และปัจจุบันอาจารย์ก็ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมะอย่างลึกซึ่งและทำกิจกรรมที่ส่งเสริมพุทธศาสนา  และดูเหมือนว่าอาจารย์พบสิ่งที่ยิ่งใหญ่และอยากให้มันเกิดประโยชน์กับคนที่ด้อยปัญญาเฉกเช่นข้าพเจ้า  กลุ่มของเราก็ได้มีการสนทนากันในประเด็นที่เกี่ยวกับธรรมะ  เช่นคุณรัญจวน  ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของฟาร์มที่ยึดถือปฏิบัติพุทธศาสนาแบบมหายานได้พูดเรืองแปดโลกที่มีตั้งแต่นรกถึงสวรรค์ ซึ่งข้าพเจ้าจำไม่ค่อยได้  ทราบแต่ว่าเรายังอยู่ในโลกมนุษย์ที่มีรัดโลภโกรธหลง  แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเองคิดแค่เพียงว่าในการดำเนินชีวิตนั้นขอให้รู้ตัวตลอดเวลาว่ากำลังรักโลภโกรธหรือหลง  เพราะถ้าเรามีสติมันจะทำให้เรารู้ว่าเราควรจะทำอย่างไร   อาจารย์ถามข้าพเจ้าว่าเห็นอะไรจากการเดินดูธรรมชาติรอบ ๆ ฟาร์ม  ข้าพเจ้าบอกว่าเห็นความลำบากท่ามกลางความร้อนทั้งของตัวข้าพเจ้าและของควาย    และถามว่าขาพเจ้าว่าจัดสมดุลของชีวิตอย่างไร  ปัจจุบันมีอะไรที่ทำให้ข้าพเจ้าเสียสมดุลบ้าง  แต่ครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบคำถามของท่านตรง ๆ เนื่องด้วยบรรยากาศของการพูดคุยกันหลาย ๆ คนทำให้ประเด็นการตอบคำถามของข้าพเจ้าตกไปอย่างเนียน  แต่ข้าพเจ้าคิดว่าอาจารย์ทราบคำตอบเพราะเราเคยคุยกันเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว  
  

         ตอนเย็นเราก็มีโอกาสได้ไปเดินเล่นชมฟาร์มกันอีกครั้งในบรรยากาศแบบแดดร่มลมตก  แล้วต่อด้วยอาหารเย็นมื้อพิเศษ  เพราะเป็นอาหารในรูปแบบที่เพื่อสุขภาพจริง ๆ  ประกอบด้วย สเต็กเนื้อ ซุปเอ็น  พิซซ่า  โอเมกา 3 จากปลาสวาย  และตบท้ายด้วยเค๊กชอคโกแลตหวานน้อยแสนอร่อยพร้อมกับร้องเพลงแฮบปี้เบิร์ดเดย์ให้อาจารย์หมอไพโรจน์ คุณพิมล และคุณต๋อม  แคร์กีฟเวอร์ของอาจารย์  หลังจากนั้นเราสนทนากันเรื่องอาหารการกินถึงประมาณสี่ทุ่มกว่าก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน

        ข้าพเจ้าได้ยินเสียงไก่ขันตั้งแต่ตีห้ากว่า ๆ และคิดว่าคงนอนต่อไม่หลับจึงเตรียมตัวลงมาเดินเล่นรับอรุณและสูตรอากาศสดชื่นพร้อมกับกาแฟหอมกรุ่นสักแก้ว  แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามนั้น  และเช้านี้เราได้รับเกียรติจากเจ้าของฟาร์มคือคุณรัญจวนได้พาเรานั้งรถโฟร์วีลขับตะเวณดูรอบ ๆ ฟาร์มบนเนื้อที่กว่าสี่ร้อยไร่  ซึ่งก็เป็นที่ตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก  ได้เห็นการพยายามบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดของเจ้าของฟาร์ม  เช่นการปลูกพืชหลากหลายชนิดเพื่อเป็นอาหารของเจ้าควายและได้ทดลองทดลองพันธุ์ไม้  และข้าพเจ้าก็เกิดความคิดว่าถ้าได้มีการพัฒนาในเชิงท่องเที่ยวก็น่าจะทำได้โดยจัดให้เป็นสถานีต่าง ๆ เช่น  สถานีรีดนม  สถานีทำผลิตภัณฑ์จากนม  สถานีผลิตอาหารควาย เป็นต้น โดยพาหนะสำคัญที่จะใช้พานักท่องเที่ยวชมสถานีต่าง ๆ คือเกวียนที่ใช้ควายลากจูงเท่านั้น

          เช้าวันที่สองนี้เราก็ได้รับประทานอาหารเชิงเพื่อสุขภาพอีก  ประกอบด้วยนมวัว น้ำเวย์โปรตีนจากนม  ไข่ลวก และชีช  ตามด้วยข้าวมันไก่และเครื่องใน  เมนูทั้งหมดนี้เน้นที่คุณค่าทางสารอาหาร  และทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกได้ถึงความอร่อยของชีชสดๆ และไข่ลวกที่อร่อยแบบธรรมชาติไม่ต้องมีการปรุงรสใด ๆ  เช้านี้ข้าพเจ้าเห็นเดินออกกำลังกายแต่ในท่วงท่าที่ดูสงบเย็นแบบเดินจงกรม  หลังอาหารเข้าเรามีการสนทนาเพื่อสรุป    ประเด็นหลักก็คือชีวิตของคนเราสามารถเปรียบเทียบได้กับบัวว่าจะเป็นบัวอยู่ใต้ตรม  อยู่ใต้น้ำ  อยู่ปริ่มน้ำ  หรืออยู่พ้นน้ำ  ขึ้นอยู่กับว่าเราจะประพฤติตนอย่างไร  โง่เง่าเต่าตุ่น  หรือใช้สติปัญญา  และอาจารย์ได้ตั้งคำถามให้ช่วยกันหาคำตอบว่าทำไมดอกบัวจึงเป็นสัญลักษณ์ของพุทธศาสนา   สุดท้ายก็ได้ข้อคำตอบว่าเพราะดอกบัวแตกต้นมาจากรากเหง่า  เติบโตผ่านโคลนตรม  พ้นจากปากเต่า กุ้ง หอย ปู ปลา  ชูขึ้นมาบานอยู่เหนือน้ำ  มีกลีบ เกสร และเมล็ด  แล้วก็เหี่ยวแห้งไป  เหมือนการนิพพาน    ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นเพิ่มเติมว่าการแพร่ขยายของไหลบัวเปรียบได้ดับการเผยแพร่ศาสนา  จะต้องมีภาวะหรือสภาพที่เหมาะสมจึงจะเกิดเป็นต้นและดอกได้   แต่ข้าพเจ้าคิดว่าบัวก็คือบัว  บัวมีธรรมชาติของบัวอย่าไปพยายามทำบัวให้เป็นอะไร  และก็อย่าพยายามทำอะไรให้เป็นบัว    พอจบเรื่องบัวก็เป็นเวลาสาย ๆ เราก็แยกย้ายกันไปเตรียมตัวเดินทางกลับ  อาจารย์ก็แยกไปถ่ายรูปกับควายโคลนนิ่งตัวแรก  และกลุ่มเราก็ได้ถ่ายรูปร่วมกันกับอาจารย์

          หนึ่งเดือนต่อมาข้าพเจ้าก็ยังเป็นนักเรียนที่ไม่ตั้งใจเรียนเท่าไร  เพราะไม่ค่อยได้ทำภาคปฏิบัติคือเรียนธัมม์  แต่ก็พยายามคิดตามว่าเราจะมีชีวิตอย่างไร

         2  มิถุนายน  2555   ข้าพเจ้าตื่นมาตอนเช้ามืดประมาณตีห้า  พอลืมตาก็เห็นว่าอ๋อนี่ไม่ใช่บ้านเราแต่เป็นที่บ้านของพ่อภรรยาหรือพ่อตา  หูก็แว่วเสียงไก่ขัน  เสียงเพลงเก่า ๆ เสียงรถ  เสียงวิทยุ  เสียงคนประกอบอาหาร  ทำให้นอนต่อไม่หลับ  ก็เลยนอนวิปัสสนาด้วยการติดตามลมหายใจตัวเอง   ใจก็ลอยไปถึงเรื่องโรงเรียนชีวิตของอาจารย์มณีวรรณ  และทบทวนตัวเองดูว่าหลังจากไดเจอกับอาจารย์ที่มูร่าห์ฟาร์มก็ผ่านไปประมาณเดือนครึ่งเรามองเห็นชีวิตเป็นอย่างไร  ก็ได้เห็นว่าตนเองนึกถึงเรื่องการกินอยู่อย่างพอดีและเป็นประโยชน์สูงสุดมากขึ้น  เวลาทานอาหารก็จะคิดว่ามันเป็นประโยชน์กับเราแค่ไหน  เรากินมันเพื่ออะไร  และได้เล่าให้คนอื่น ๆ ฟังว่าเราได้รับประสบการณ์อะไรมาบ้างเกี่ยวกับการเลือกอาหารรับประทาน  ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าก็เลือกปฏิบัติตามแนวทางที่เรียกว่าแมคโครไบโอติคอยู่แล้ว  คือทานอาหารจากธรรมชาติอย่างธรรมชาติ  แต่ก็สามารถทำได้ระดับหนึ่งเท่านั้นเนื่องจากมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น  ไม่สามารถปลูกพืชผัก  และเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ไว้ทานเองได้  ที่ทำได้คือพยายามหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป  และเลิกใช้เตาไมโครเวฟประกอบอาหาร  เพื่อทำให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอาหารของเซลร่างกายเป็นไปตามธรรมชาติมากที่สุดและไม่เกิดพิษ  แล้วสุดท้ายสุขภาพของเราก็จะแข็งแรงแบบยั่งยืนได้เองจากภายใน   อีกเรื่องหนึ่งเรื่องของอารมณ์ที่นิ่งขึ้น  ได้แนวมาจากอาจารย์ไพโรจน์เหมือนกันว่าคนเราสามารถปฏิบัติได้ตลอดเวลาด้วยการกำหนดลมหายใจ  แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ปฏิบัติเหมือนกับอาจารย์ไพโรจน์ที่มีการกำหนดระยะเวลาในการหายใจให้ยาว  ข้าพเจ้าทำได้เพียงการเฝ้าติดตามการหายใจของตนเอง   ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาข้าพเจ้ามีประเด็นทางการปฏิบัติหรือเกี่ยวกับศาสนาพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อนร่วมงานระหว่างมื้อกลางวันอยู่บ่อย ๆ   ได้ติดตามรายการ “พื้นที่ชีวิต”  ของวรรณสิงห์  ประเสริฐกุล  ซึ่งเป็นรายการเกี่ยวกับปรัชญาชีวิต  โดยที่ข้าพเจ้ารู้จักรายการนี้จากอาจารย์มณีวรรณเมื่อสองสามปีก่อน  และก็ได้อ่านหนังสือจากกัลยาณมิตร  อย่างเช่น เรื่อง  “๑ พระอาจารย์ ๙มารร้าย  ปิดอบายใน ๑ พรรษา”  ของพระอาจารย์  นวลจันทร์  กิตติปัญโญ    และข้าพเจ้าได้ฟังบรรยายเรื่อง “จะพัฒนาตนเองอย่างไร ให้มีความสุขในการทำงาน”  โดยนายแพทย์ไพบูลย์  ศรีแก้ว  ซึ่งก็เน้นที่การใช้ปัญญาในการคิดและปรับใจให้รู้ความจริง     สิ่งเหล่านี้ช่วยกระตุ้นให้ข้าพเจ้าหันมามองจิตใจตนเองมากขึ้น  และเริ่มจะเกิดแนวคิดว่าข้าพเจ้าน่าจะทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าให้เกิดความสมดุลได้ด้วยการปรับที่ใจ  ซึ่งมันจะส่งผลต่อพฤติกรรมและการแสดงออกของข้าพเจ้าต่อไป  แล้วสุดท้ายก็น่าจะส่งผลต่อทุกสิ่งที่แวดล้อมตัวข้าพเจ้า    และน่าจะเป็นทางที่ดี  แต่สุดท้ายข้าพเจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าทำนี้เกี่ยวข้องกับโรงเรียนชีวิตหรือไม่

     วันที่ 1 สิงหาคม  2555 ผมเตรียมตัวเดินทางไปที่นครสวรรค์จังหวัดบ้านเกิดเพราะเป็นวันหยุดยาว  วันพฤหัสบดีเป็นวันอาสาฬหบูชาวันศุกร์ก็เป็นวันเข้าพรรษาต่อด้วยวันหยุดเสาร์อาทิตย์รวมสี่วัน  ขณะเวลาเดียวกันก็กำลังแข่งขันกีฬาโอลิมปิกลอนดอนเกมส์กันอย่างเข้มข้น  ผมเกิดคำถามในใจว่ากีฬาแห่งมวลมนุษยชาตินี้เราจะชิงดีชิงเด่นกันไปเพื่ออะไร  ทำไมต้องหาคนที่เร็วที่สุด คนที่แข็งแรงที่สุด  คนที่มีทักษะทางการเคลื่อนไหวดีที่สุด  ถ้ามองแค่ตัวคนผู้แข่งขันและทีมงานนั้น ๆ มันเกินสมดุลเกิดแนวคิดสุดโต่งหรือไม่  มันปลูกฝังว่าถ้าจะทำอะไรต้องทำให้ดีที่สุดหรือไม่  มันคงจะดีถ้าการกระทำนั้นมันคือทำดีสีขาว  แต่อีกมุมหนึ่งของการต้องดีสุดโต่ง  มันก็คือการเร่งเผาผลาญโลกนั่นเอง  เพราะถ้าเราต้องใช้แต่ของดี ๆ แสวงหาแต่สิ่งที่เราคิดว่าดี   ไม่ดีโยนทิ้ง  หรือไม่ดีพอก็ใช้ไม่ได้  อย่างนี้โลกก็แย่แน่ ๆ ถ้าคนส่วนใหญ่บนโลกมีแนวคิดนี้ในการดำเนินชีวิต  แล้วความสมดุลมันอยู่ตรงไหน  ข้อนี้ผมยังคิดไม่ออก  ซึ่งก็คงจะสอดคล้องกับแนวคิดของอาจารย์มณีวรรณว่าเราจะกินอาหารอย่างไรให้มันมีอาหารเปี่ยมคุณภาพพอเลี้ยงคนทั้งโลก  เราคงต้องมองอีกมุมหนึ่งของความเป็นที่สุดนั่นคือทำให้มีคุณภาพดีที่สุด

                                           *******************************************************************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น