สมดุลชีวิต
ขณะที่ผมเขียนบันทึกเรื่องนี้
ผมเฝ้าคุณแม่ที่กำลังนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ คุณแม่ท้องเสีย ติดเชื้อ
ความดันต่ำจนใกล้ภาวะช๊อค
และการที่ต้องมานั่งเฝ้าคุณแม่ทุกวันนี่เองทำให้ตนเองได้นึกถึงเรื่องของสมดุลชีวิต
ขณะที่นั่งพักอยู่ที่ระเบียงด้านหลังของตึกหลิ่มซีลั่น ท่ามกลางบรรยากาศของท้องฟ้าอึมครึม ฝนตกปรอย ๆ สลับกับตกหนาเม็ด เพราะเป็นช่วงวันเวลาที่มีพายุพัดผ่านเข้าภาคกลางพอดี
( วันที่ ๑๔ – ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ ) รอบ ๆ บริเวณดูชุ่มฉ่ำแต่ไม่ปลอดโปร่ง ต้นไม้เขียวสดชื่นใบเปียกโชกมีหยดน้ำเกาะและหยดที่ปลายใบ บางต้นออกดอกสีสดใส
กระรอกน้อยสามสี่ตัวกระโดดหากินไปมาบนยอดไม้สูง ทำให้บรรยากาศในโรงพยาบาล สงบ
เป็นธรรมชาติ และช่วยให้จิตใจของเราผ่อนคลายจากความวิตกกังวลต่าง
ๆ ในความเจ็บป่วยของคนไข้ได้บ้างในบางขณะ
มันทำให้ผมเห็นความสำคัญของธรรมชาติได้ขึ้นมาทันทีว่า
ธรรมชาติช่วยรักษาภาวะสมดุลของความรู้สึกและจิตใจได้ ความฟุ้งซ่านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ถูกดึงกลับมาให้สงบนิ่งได้ด้วยธรรมชาติเหล่านี้ มันมาช่วยถ่วงดุลกันได้จริง ๆ
นี่เป็นครั้งที่สองในรอบหนึ่งเดือนที่คุณแม่ต้องมานอนที่โรงพยาบาล
คุณแม่ผมมานอนที่โรงพยาบาลครั้งแรกที่ตึกสามัคคีพยาบารได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ด้วยอาการข้ออักเสบและความดันโลหิตต่ำ
รักษาจนอาการดีขึ้นคุณหมอก็ให้กลับบ้าน แต่กลับไปได้แค่สี่วันก็ต้องกลับมาอีกในครั้งนี้ด้วยอาการท้องเสีย
และความดันต่ำ ทำให้ผมต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในสองช่วงเวลาที่คุณแม่นอนโรงพยาบาลนี้ไปจากเดิม ปกติหลังเลิกงานผมต้องไปรับลูกที่โรงเรียนแล้วกลับไปทำงานบ้านและสอนการบ้านลูก
แต่ช่วงนี้ผมรับลูกแล้วขับรถไปที่โรงพยาบาลจุฬาต่อ ระยะทางประมาณสามสิบกิโลเมตร ลูกก็ทำการบ้านที่โรงพยาบาล
กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ประมาณสามสี่ทุ่มทุกวัน
หากเปรียบเทียบกับเวลาปกติจะเห็นว่าสมดุลชีวิตของผมเสียไป สมดุลชีวิตของลูกผมก็เสียไป และของคนอื่น ๆ ในครอบครัว เช่น ภรรยา พี่สาว
น้องสาว ก็เสียไป
ทำให้คิดได้ว่าวิธีปรับสมดุลที่ดีที่สุดคือการปรับตัวปรับใจให้ยอมรับและอยู่กับปัจจุบัน การอยู่กับความเคยชินในอดีตมันจะทำให้ใจของเราฟุ้งซ่านและรู้สึกเสียศูนย์
เราจึงควรกลับมารักษาสมดุลหรือประคองใจให้นิ่ง
เปรียบเหมือนเรานั่งอยู่ในเรือที่ลอยไปตามกระแสน้ำ เรือก็เหมือนใจของเรา กระแสน้ำคือสิ่งที่มากระทบวิถีปกติของชีวิตให้เสียสมดุลหรือเปลี่ยนไปจากเดิม เราคงไปกำหนดความเชี่ยวกรากของกระแสน้ำและทิศทางของมันไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ
แต่เราสามารถประคับประคองเรือของเราไม่ให้ล่มได้ นั่นคือการพยายามมุ่งรักษาสมดุลของเรือไม่ให้เอนเอียงจนเกินไป ต้องมีการขยับโยกซ้ายย้ายขวา
จนถึงการโยนสิ่งที่จะทำให้เรือหนักเกินไปทิ้งลงน้ำไป นั่นคือการรู้เท่าทันจิตใจตนเอง ณ
ปัจจุบันว่าเอียงหนักไปทางใด
กำลังแบกทุกข์อะไรอยู่
อะไรที่ปล่อยวางได้ก็ตัดใจ
ไม่ต้องเก็บมาไว้ทุกเรื่องจนหนักใจเกินไป
เมื่อตั้งสติ เห็นจิตใจตนเองได้ ก็จะประคองเรือชีวิตได้ต่อไปจนตลอดรอดฝั่ง
กันยายน ๒๕๕๕