ซาปา...สู่สูงสุดอินโดจีน
ซาปา...อดีตเมืองพักตากอากาศของชาวฝรั่งเศสในสมัยที่เข้ามาปกครองในยุคอาณานิคม ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่สวยงามของเมืองที่อยู่บนไหล่เขา อากาศเย็นสบายตลอดปี มีวิถีวัฒนธรรมของชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ทำให้ซาปาในปัจจุบันเป็นเมืองในฝันของนักท่องเที่ยวที่จะได้มีโอกาสไปสัมผัสและซึมซับความรู้สึกกันสักครั้ง เมื่อไปสัมผัสแล้วก็ส่งต่อความรู้สึกดีๆ และภาพความสวยงามสู่สื่อต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ ยิ่งทำให้เมืองแห่งนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ผมเองในฐานะคนๆหนึ่งที่ชื่นชอบการเข้าไปอยู่หรือสัมผัสวิถีทางธรรมชาติ ก็ใฝ่ฝันเหมือนกันว่าสักวันหนึ่งจะได้ไปเดินสูดวิถีชีวิตแห่งเมืองซาปาให้ชุ่มปอด เมื่อเวลาและโอกาสเอื้ออำนวยผมจึงจัดทริปเที่ยวซาปาโดยไม่ต้องรีรอโดยทริปนี้มีผม ภรรยา ลูกสาว และเพื่อนอีกหนึ่งคน เลือกช่วงเวลาที่ลูกสาวปิดภาคเรียน ได้ในวันที่ 5 - 8 ตุลาคม 2559 ให้เป็นช่วงเวลาของการปรับความสมดุลให้กับชีวิตระหว่างการทำงานและการพักผ่อน แล้วทำการหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่และการเดินทางมีเวลาประมาณสองเดือนแล้วก็ทำการจองตั๋วเครื่องบินซึ่งเราเลือกสายการบินราคาประหยัดเพราะใช้เวลาบินแค่ชั่วโมงกว่า ๆก็ถึงฮานอยแล้ว เราใช้บริการนกแอร์ในเที่ยวไปและกลับด้วยเวียตเจ็ท แล้วเราก็จองโรงแรมผ่านอโกด้า โดยเลือกดูจากราคาและคำติชมของผู้ที่โพสต์ไว้ แล้วผมก็ตัดสินใจจองโรงแรม Phoung Nam Hotel และก็จองตั๋วรถบัสนอนจากฮานอยไปซาปาเพราะประหยัดเวลาและตารางการเดินทางลงตัวกว่าไปซาปาด้วยรถไฟเนื่องจากเราไม่ต้องการเที่ยวในเมืองฮานอย
เมื่อวันเดินทางมาถึงเราก็ต้องไปขึ้นเครื่องทีสนามบินดอนเมือง เราออกจากบ้านที่บางปูตั้งแต่ตีสามเพื่อไปให้ถึงดอนเมืองก่อนตีห้าเพราะเครื่องเราออกหกโมงสิบนาที เพื่อทำการเช๊คอิน และเที่ยวบินนี้แจ้งเราว่าไม่สามารถเช๊คอินออนไลน์ได้ ฝนตกหนักก่อนหน้าที่เราจะออกเดินทางทำให้กังวลเล็กน้อยแต่ก็โอเคดีรถไม่ติด แทกซี่ที่นัดหมายไว้ก็มารับและสามารถส่งเราได้ก่อนเวลาที่คิดไว้
เครื่องบินออกตรงเวลาเป๊ะมากและพาเรามาถึงสนามบินโหน่ยบ่าย(Noi ฺฺฺBai)ที่ฮานอยตอนแปดโมงกว่า ๆ ก่อนเวลาตามตารางประมาณยี่สิบนาทีพร้อมบริการอาหารว่างบนเครื่อง อีกเหตุผลที่เลือกสายการบินนี้เพราะให้เราโหลดกระเป๋าฟรี 30 กิโลเลยสำหรับเส้นทางกรุงเทพ - ฮานอย ประมาณเก้าโมงเราก็ผ่านตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าเรียบร้อย เราทำการแลกเงินเป็นเวียตนามด่องและสอบถามเรื่องการเดินทางเข้าเมือง ผมถามราคาแทกซี่จากเคาเตอร์บริการข้อมูลการท่องเที่ยวบอกว่าราคา 22 เหรียญ US ตามแผนการเดินทางเราต้องไปขึ้นรถที่จะไปซาปาที่สถานีขนส่งหมีดิ่น ( My Dinh Bus Station ) ตอนบ่ายโมง เราจึงมีเวลาเหลือประมาณสี่ชั่วโมง ผมจึงชวนกันไปนั่งรถเมล์เข้าเมืองแล้วค่อยต่อรถแทกซี่ไปที่สถานีอีกทีเนื่องจากไม่มีรถเมล์จากสนามบินที่จะไปถึงสถานีขนส่ง เราจึงเดินแบกเป้ไปขึ้นรถเมล์สาย 7 :ซึ่งอยู่ทางซ้ายของทางออกสนามบินอาคาร 2 เรารออยู่ที่ป้ายรถเมล์แบบงง ๆ อยู่พักหนึ่งเพราะไม่มีภาษาอังกฤษบอกอะไรเราเลยรถเมล์ก็วิ่งเข้ามา พวกเราก็ขึ้นไปปรากฏว่าที่นั่งเต็มเพราะรถวิ่งมาจากอาคาร 1 ที่ใช้เป็นอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ เราจึงต้องยืนและวางสัมภาระไว้ข้างตัว (ถ้าจะนั่งต้นสายต้องนั่ง shorter bus ไปที่ terminal 1) ลักษณะรถถูกออกแบบมาให้มีพื้นที่สำหรับยืนมากกว่านั่ง แต่ก็ถือว่าได้ท่องเที่ยวแบบสัมผัสวัฒนธรรมจริง ๆ และราคาตั๋วถูกมากคือคนละแปดพันเวียดนามด่องหรือสิบบาทกว่า ๆ
จุดจอดรถเมล์อยู่ด้านซ้ายของอาคาร
ผมชี้ตำแหน่งป้ายรถเมล์ในแผนที่ที่ผมเซฟไว้ในมือถือให้กระเป๋ารถเมล์ดูเพื่อบอกว่าเราจะลงตรงไหน ซึ่งเขาก็พยักหน้าและช่วยบอกเราโดยที่ไม่ต้องใช้ภาษาพูดเลย เมื่อลงจากรถเมล์มีฝนตกเล็กน้อยพวกเราก็มองหาแท็กซี่สีเชียวที่ชื่อ Mailinh เพราะศึกษาทางอินเตอร์เน็ตมาว่าไม่โกงผู้โดยสาร และเราก็ขึ้นมาเป็นรถอีโก้คาร์คันเล็กนั่งได้สี่คนพอดี ติดมิเตอร์ และเมื่อมาถึงที่หมายก็ไม่โกงแค่บอกเราว่าไม่มีตังค์ทอน(พูดภาษาเวียตนามพร้อมหควักแบงค์ที่มีอยู่ให้เราดู)เราก็เลยทิปให้ไปไม่ต้องทอน
ที่สถานีขนส่งเราได้พบเด็กหนุ่มสาวคู่หนึ่งซึ่งมีน้ำใจและทำให้เราประทับใจมาก เพราะเมื่อมาถึงสถานีขนส่งผมก็ไปติดต่อที่เคาเตอร์ของบริษัทรถที่ชื่อ Hason Haivan พร้อมกับเอกสารการจอง พนักงานบอกให้ผมกลับมานั่งรอที่เก้าอี้แล้วให้ไปติดต่อใหม่เวลาเที่ยง(ตอนนั้นเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง)แล้วก็คืนเอกสารกลับมา ผมก็ทำหน้างง ๆ ว่าตกลงผมจะได้ตั๋วรถไหม ขณะนั้นหญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็ถามว่าจะไปไหน เรารู้วิธีขึ้นรถไหม ผมก็เอาใบจองรถให้ดู เธอก็หันไปพูดกับชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง แล้วชายหนุ่มคนนั้นก็เดินไปคุยกับพนักงานที่เคาเตอร์ขายตั๋วแล้วกลับมาบอกว่าให้ผมนั่งรอเดี๋ยวจะมีคนมาพาพวกเราไปขึ้นรถ แล้วให้เราไปซื้อตั๋วและจ่ายเงินบนรถ ผมก็ยังทำหน้างง ๆ ต่อเพราะสงสัยว่ามันจะเป็นเรื่องเดียวกันกับที่ผมจ่ายค่ารถส่วนหนึ่งมาแล้วตอนจองหรือไม่ ทำไมไม่จ่ายที่เคาเตอร์ พอถึงเวลาเที่ยงก็มีคนมาเรียกให้เดินตามไปขึ้นรถที่จอดอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสถานี เด็กหนุ่มคนนั้นก็บอกให้พวกเราตามไป พอไปถึงรถก็ขึ้นไปพร้อมยื่นเอกสารให้พนักงานผู้หญิงที่นั่งเก็บเงินอยู่บนรถ เธอให้เราจ่ายส่วนที่เหลือตามที่เอกสารการจองแจ้งไว้(ค่ารถไป-กลับของเราคนละ 30 เหรียญUS) แต่ไม่ได้ออกตั๋วให้เรา พอถามหาตั๋วคนขับก็บอกว่าของเราไม่ใช้ตั๋วผมก็เลยขอเอกสารมาเก็บไว้ใช้ตอนกลับ
รถบัสนอนออกจากฮานอยตอนเที่ยงครึ่ง เป็นรถเบาะนอนที่ไม่เหมือนที่มีในบ้านเรา ก่อนขึ้นต้องถอดรองเท้าใส่ถุงหิ้วไปเก็บที่ที่นั่งของตัวเอง ไม้มีห้องน้ำบนรถแต่จอดให้เข้าห้องน้ำระหว่างทาง ซึ่งพนักงานบนรถจะเอารองเท้าแตะใส่เข่งเตรียมไว้ตรงประตูทางลงรถไว้ให้สวมไปเข้าห้องน้ำ
รถวิ่งไปตามเส้นทางที่สวยงาม มีผู้โดยสารขึ้นลงตลอดเส้นทาง และจอดตามสถานีของบริษัทรถเป็นระยะ ๆ และมีพนักงานของบริษัทมาตรวจเอกสารเกี่ยวกับผู้โดยสารกับคนขับ และเปลี่ยนพนักงานขับรถเมื่อครบสี่ชั่วโมงและจำกัดความเร็วที่แปดสิบลิโลเมตรต่อชั่วโมง
พวกเรามาถึงจังหวัดหล่าวไกตอนประมาณห้าโมงครึ่ง รถแวะที่สถานีเปลี่ยนผ้าห่ม และรับผู้โดยสารที่จะไปเมืองซาปา ซึ่งเส้นทางต่อจากนี้จะเป็นทางขึ้นเขา และคดโค้ง ใช้เวลาชั่วโมงกว่าเราก็มาถึงเมืองซาปา รถจอดตรงสถานีขนส่ง พอลงรถก็มีคนขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างบ้าง คนขับแทกซี่บ้าง รวมถึงไกด์อิสระมารุมล้อมเรา แต่สุดท้ายพวกเราตัดสินใจเดินไปที่โรงแรมที่อยู่ห่างไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร ถือโอกาสชมเมืองยามราตรี เดินมาครึ่งทางก็รู้สึกว่าสัมภาระที่แบกมามันหนักขึ้นประกอบกับความหิวทำให้พวกเราต้องนั่งพัก แต่ไกล้จะถึงที่พักแล้วจะจ้างรถไปส่งก็ดูท่าจะไม่คุ้ม
เราเช็คอินที่โรงแรมตอนสองทุ่มครึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิมตามเวลาที่รถจะมาถึงประมาณสองชั่วโมง เมื่อเก็บสัมภาระเรียบร้อยเราก็เดินออกไปหาอาหารมื่อเย็นกินกัน ได้เป็นร้านกวยเตี๋ยวไก่และมาต่อด้วยปิ้งย่างข้างทาง
วันที่สองของการเดินทาง
เราตื่นเช้ามาสูดอากาสเย็นสบายบริเวณระเบียงหน้าห้องพัก อุณหภูมิไม่เย็นมากอย่างที่คิด ก่อนมาผมตรวจสอบข้อมูลจากกูเกิ้ลได้ว่าอุณหภูมิต่ำสุดที่ประมาณ 11 องศา แต่เช้านี้อยู่ที่ 18 องศา (ขอแนะนำว่าให้เช๊คจากหลาย ๆ แหล่ง เพราะเราขนเสื้อกันหนาวชุดใหญ่มาแต่ก็ไม่ได้ใช้) แต่ก็ถือว่าเย็นสบาย วิวสวยประทับใจมาก เราลงไปรับประทานอาหารเช้าที่ทางโรงแรมจัดให้
หลังทานอาหารเช้าที่โรงแรมซึ่งจัดเป็นบุฟเฟ่ พวกเราก็ไปที่ที่หมายแรกของโปรแกรมการเที่ยวในวันนี้คือการเดินลงไปที่หมู่บ้านคัทคัท (Cat Cat Village) ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวเขา ซึ่งเราจะต้องซื้อตั๋วเข้าไปคนละห้าหมื่นเวียตนามด่อง ระหว่างทางเดินนั้นก็จะมีสินค้าชาวเขาวางขายไปตลอดเส้นทาง เราสามารถจ่ายเป็นเงินสกุลบาทได้ บางร้านแม่ค้าก็พูดไทยได้
ตลอดทางเดินประมาณสามกิโลเมตรจากเมืองซาปา พวกเราเดินเพลิน ๆ ไปเรื่อย ๆ ในบรรยากาศฝนตกพรำ ๆ ฟ้าครึ้ม ๆ ลมอ่อน ๆ อากาศเย็นสบาย วิวทิวทัศน์สวยงาม มีทุ่งนาขั้นบันไดที่เราเสียวดายมากเพราะพวกเขาเก็บเกี่ยวไปหมดแล้วมีเหลืออยู่น้อยมาก มีนำ้ตก Tien Sa ที่สวยงาม เมื่อเดินไปจนใกล้ถึงทางออกหมู่บ้านเราก็จะเห็นกระเช้าลอยฟ้าที่ขึ้นไปที่ยอดเขา Fansipan
หลังจากเดินรอบหมู่บ้าน คัท คัท แล้ว เราจะต้องเดินกลับขึ้นมาที่เมือง ตรงทางออกจากหมู่บ้านจะมีวินมอเตอร์ไซด์ และมารุมเชิญชวนให้เราใช้บริการ คิดค่าโดยสารคนละห้าหมื่นดองหรือประมาณเจ็ดสิบกว่าบาท ตอนแรกพวกเราปฏิเสธแต่แล้วก็กลับใจภายหลังเมื่อรู้สึกหิวหมดพลังเดินแน่ ๆ ประกอบกับเป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว อากาศเริ่มร้อน เรามากินข้าวผัดที่ร้านแห่งหนึ่งซึ่งใช้ข้าวพื้นเมืองซึ่งลักษณะคล้าย ๆ ข้าวเหนียวหรือข้าวไร่ชาวเขาบ้านเรา หลังจากนั้นเราก็ไปขึ้นเขาฮามรอง (Ham Rong) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองซาปาซึ่งเราต้องเดินขึ้นไปมีบันได้สลับเส้นทางลาดชัน ซึ่งบนนั้นจะมีสวนไม้ดอกไม้ประดับ มีการขายของและการแสดงพื้นเมือง และบนยอดสูงสุดจะเป็นจุดชมวิวของเมืองและบริเวณรอบ ๆ และสามารถมองเห็นยอดเขา Fansipan เป็นฉากหลัง
จ่ายค่าบัตรผ่านคนละเจ็ดหมื่นเวียตนามด่อง
เมื่อลงจากเขาฮามรองเราก็มาเดินเล่นในเมืองเพื่อดูวิถีชีวิตของคนเมืองซาปา บริเวณหน้าโบสถ์คริสต์ จากรูปเดิมที่เห็นในร้านอาหารเป็นสระน้ำเก่า แต่ปัจจุบันปรับเป็นอัศจรรย์และมีลานกว้างตรงกลาง ตกเย็นจะมีผู้คนมาเล่นกีฬาและทำกิจกรรมกลางแจ้ง ถัดจากลานหน้าโบสถ์ก็จะเป็นทะเลสาบกลางเมืองที่มีการประดับไฟอย่างสวยงามยามค่ำคืน
หลังจากนั้นเราก็เดินหาร้านอาหาร สุดท้ายก็ได้ร้านใกล้ ๆโรงแรมที่พักนั่นเอง วันนี้เราเลือกกินฮอทพอทปลาแซลมอน และเมืองซาปาก็เป็นแหล่งผลิตปลาแซลมอนของเวียตนามเนื่องจากมีการทำฟาร์มปลาที่นี่ ที่ประทับใจคือผักที่เสริร์ฟมาให้เยอะมาก เป็นยอดฟักแม้วที่อร่อยมากและเราก็กินจนหมด
วันที่สามของการเดินทาง
วันนี้เราวางแผนว่าจะไปขึ้นยอดเขาฟานสิปันด้วยกระเช้าลอยฟ้า จากข้อมูลที่หามา เวียตนามใช้เวลาสองปีในการสำรวจและสร้างโดยวิศกรชาวสวิตเซอแลนด์ มีระยะทางยาวที่สุดในโลกคือ 6 กิโลเมตร และเปิดใช้เมื่อต้นปี 2016 นี่เอง ตอนที่เราไปก็ยังกำลังมีการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ ที่สถานีซาปาเพราะจะมีที่พักที่เป็นโรงแรมและรีสอร์ทด้วย จากเมืองซาปาเราถามข้อมูลที่โรงแรมว่าต้องนั่งรถไปประมาณ 4 กิโลเมตร และมีบริการแทกซี่ เราจึงไปดวยแทกซี่มิเตอร์เพราะเรามีแค่สี่คนพอดัคัน เราจ่ายค่าแทกซี่ไปแปดหมื่นดอง
ต้องซื้อตัวไปกลับคนละหกแสนเวียตนามด่อง ประมาณเก้าร้อยกว่าบาท
หนึ่งกระเช้านั่งได้สามสิบคน แต่วันที่เราไปเป็นวันศุกร์คนเที่ยวจึงไม่เยอะมากและไม่ต้องรอคิว เจ้าหน้าที่บอกให้เราเก็บตั๋วไว้ใช้ขากลับด้วยอย่าทำหาย กระเช้าพาเราจากสถานีซาปาไปสู่ยอดเขาลูกหนึ่ง หากมองมาด้านล่างจะเห็นหมู่บ้านและนาขั้นบันได เมื่อผ่านยอดเขาลูกแรกไปก็จะเป็นเขตอุทยานที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์และเห็นธารน้ำตกอยู่สองสามแห่ง
เมื่อมาถึงสถานีฟานสิปันก็จะมีภัตราคาร ร้านอาหาร ร้านกาแฟ แต่การจะไปสู่ยอดสูงสุดของเขาฟานสิปันที่ความสูง 3134 เมตร เราจะต้องเดินขึ้นบันไดไปอีก เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าเปิด อากาศบนยอดเขาจึงไม่หนาวเย็นอย่างที่คิด มีเมฆพัดผ่านเป็นระยะ
การเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดของเขา Fansipan นับจากสถานีกระเช้าลอยฟ้าจะต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกหกร้อยกว่าขั้น ซึ่งจะต้องใช้กำลังขาพอสมควร และอากาศเบาบางอาจจะเหนื่อยง่าย แต่ระหว่างทางขึ้นก็จะมีเก้าอี้ยาวให้นั่งพักเป็นระยะ ๆ กำลังมีการก่อสร้างอาคารที่ยังไม่แล้วเสร็จ เช่น ศาลเจ้าแม่กวนอิม ทำให้ได้เห็นความมุ่งมั่นพยายามและความเหนื่อยยากของบรรดาช่างและแรงงานที่ทำการก่อสร้าง แต่ความยิ่งใหญ่อลังการของผลงานก็น่าจะพลิกกลับความเหนื่อยยากเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน
เราลงจากยอดเขาฟานสิปันตอนใกล้เที่ยง ตรงทางออกจะบังคับให้เราต้องเดินผ่านร้านขายของที่ระลึก และมีภัตราคาร แต่แวะดูราคาในเมนูอาหารแล้วราคาอาหารจานเดียวค่อนข้างสูง
พวกเราเลยตกลงกันว่ากลับไปหาร้านในเมืองซาปาดีกว่า แล้วเราก็เรียกแทกซี่กลับที่พัก ความเหนื่อยล้าจากการเดินขึ้นลงบันไดรวมพันกว่าขั้นทำให้พวกเราอยากจะนอนผ่อนคลายที่โรงแรม แล้วตกลงกันว่าตอนเย็นจะไปเดินเล่นชมเมืองและหาซื้อของที่ระลึกที่ตลาดกลางคืน
เมืองนี้แต่เดิมเป็นที่อาศัยของชนเผ่าต่าง ๆ ต่อมามีการสร้างเมือง มีตึกรามบ้านช่องแบบฝรั่งเศษที่สวยงามของคนเมืองและก็เป็นเจ้าของร้านขายของ ส่วนชาวเขาก็วางขายข้างถนน และยึดมั่นในวัฒนธรรมอย่างมากซึ่งเห็นได้จากการแต่งกายและภาษาที่ใช้ และสภาพบ้านเรือนที่เห็นในหมู่บ้านก็เป็นแบบดั้งเดิม แต่รูปภาพชนเผ่าเหล่านี้กลับปรากฏอยู่ทั่วไปในสื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวซาปา หรือนี่คือความสมดุลของชีวิตที่ทำให้พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะการที่ยังมีรูปแบบชีวิตแบบนี้ทำให้มีนักท่องเที่ยวที่จะมาซื้อของที่ระลึกจากพวกเขา มีข้อสังเกตุอยู่อย่างหนึ่งคือก่อนที่จะไปเมืองซาปามีคนเล่าไว้ว่าหากเราเดินไปเที่ยวที่หมู่บ้านคัทคัทจะมีชาวเขาเดินประกบเราไปตลอดทางเพื่อขายของที่ระลึกให้ แต่เท่าที่สังเกตุเห็น พวกเขาไม่เดินตามนักท่องเที่ยวคนไทยหรือคเอเซียเลย พวกเขาตามแต่ฝรั่ง
คืนนี้เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมตอนสามทุ่มและเดินทางกลับฮานอยด้วยรถบัสนอนที่เราจองตั๋วไว้ แทกซี่พาเราไปส่งที่สำนักงานของบริษัทรถที่อยู่ใกล้ ๆ กลับสถานีขนส่งซาปา โดยเราได้ตั๋วเที่ยวห้าทุ่ม
สถาพภายในรถ
เรามาถึงฮานอยตอนตีสี่ครึ่ง มีคนบอกว่าที่ซาปาเราสามารถนอนต่อบนรถได้จนสว่างแต่ที่ฮานอยคนขับบอกให้เราลง พวกเราก็เลยต้องลงมานั่งรอสว่างที่เก้าอี้พักผู้โดยสารในสถานีขนส่ง ล้างหน้าแปรงฟัน เข้าห้องน้ำ (ค่อนข้างสกปรก) บรรยากาศในสถานีขนส่งก็คล้ายๆ ที่บ้านเราที่จะมีพวกบริการแทกซี่มารุมล้อมเรียกให้เราใช้บริการ ตามแผนเดิมผมกะว่าจะนั่งแทกซี่เข้าไปในเขตเมืองเก่าที่เรียกว่า Old Quarter ใกล้ ๆ กลับทะเลสาบหว่านเกี๋ยม แต่เห็นว่ามีเวลาเหลือพอที่จะเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ผมจึงดูในแอปพลิเคชั่น Veitnam bus ที่โหลดไว้ในมือถือ ก็เห็นว่ามีรถบัสสาย 34 วิ่งจากสถานีขนส่งผ่านไปแถว ๆ นั้น เราจึงนั่งรถเมล์กันอีกครั้ง
รถเมล์สาย 34
อาจเพราะเป็นช่วงเช้าของวันเสาร์รถจึงไม่ติดเลย คนขึ้นรถก็ไม่แน่นและก็ได้ห็นว่าเมื่อคุณป้า ๆ ทั้งหลายขึ้นมาบนรถถ้าเห็นว่ามีที่ว่างตรงไหนนั่งได้ก็จะพากันนั่งทันที ถอดรองเท้ารองก้นแล้วก็นั่งเลย ผมพยายามถามคนบนรถที่ดูมีการศึกษาว่าถึงที่ที่ผมจะลงหรือยังโดยชี้ตำแหน่งบนแผนที่ในโทรศัพท์มือถือ เด็กหนุ่มคนหนึ่งพยายามที่จะช่วยเหลือผมมากแต่คุยกันไม่ค่อยเข้าใจ แต่สุดท้ายเราก็ลงได้ตรงป้าย
ปัญหาต่อมาคือจะเดินไปทางไหนเพราะย่านนี้ตรอกซอกซอยเยอะมาก
ผมเลือกถามคนที่แต่งตัวดูดีเหมือนทำงานธนาคารแต่ปรากฏว่าเธอใช้ภาษามือแล้วชี้ไปที่เด็กนักเรียนคนหนึ่ง เด็กเข้าใจว่าผมจะนั่งรถเมล์ไปสนามบินจึงชี้บอกให้ผมไปขึ้นรถเมล์ฝั่งตรงข้าม ผมเลยคิดว่าพึ่งตนเองดีกว่าจึงเปิดแอปพลิเคชั่นแผนที่ในมือถือเพื่อหาตำแหน่งด้วยจีพีเอส ที่นี้ชัดเจนมากเลย ไม่คิดว่ามันจะใช้ได้ รู้อย่างนี้ใช้ตั้งแต่ตอนอยู่บนรถเมล์แล้ว เราเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงทะเลสาบ แต่เราแวะกินอาหารข้างทางกันก่อน เห็นมีอาหารชนิดหนึ่งคล้าย ๆ ข้าวเกรียบปากหม้อ แต่มีน้ำซุปด้วย
กินบากวนหน่องกัน
เราเดินมานั่งเล่นดูวิถีชีวิตตอนเช้าบริเวณทะเลสาบหว่านเกี๋ยมหรือทะเลสาบคืนดาบ ซึ่งตอนช่วงเช้าจะปิดถนนไม่ให้รถวิ่ง มีคนมาเดินและวิ่งออกกำลังกาย รำมวยจีน เดินเล่นกันเป็นครอบครัว และถ่าย Pre-wedding กัน
การมาเดินเล่นย่านนี้ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมเดิมของเรา แต่เนื่องจากสายการบินเวียตเจ็ทแจ้งเราว่ามีการจัดตารางเวลาเที่ยวบินใหม่ จากเดิมเครื่องออกสิบเอ็ดโมงเลื่อนเป็นบ่ายสามโมง จึงทำให้เรามีเวลาเหลือ แต่เนื่องจากมีสัมภาระเป็นเป้คนละเจ็ดถึงแปดกิโลอยู่บนหลังทำให้เราไม่สะดวกที่จะเดินเล่น เราจึงจะเดินช็อปปิ้งของที่ระลึกเล็กน้อยแล้วก็ไปเดินเล่นที่สนามบินดีกว่า
ร้านกาแฟสด
จากย่านนี้มีรถเมล์สาย 17 วิ่งไปถึงสนามบินโหน่ยบ่าย แต่เราขี้เกียจที่จะแบกเป้เดินไปขึ้นรถจึงเรียกแทกซี่มิเตอร์ไปส่ง ระยะทางประมาณเกือบสามสิบกิโลเมตรค่าแทกซี่หกร้อยกว่าบาทก็พอรับได้อยู่
สนามบินอาคารที่สองสำหรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่าน เราหาอาหารกลางวันทานกันที่ร้าน star ราคาปกติมากไม่แพงเลย ข้าวกล่องสำเร็จรูปประมาณห้าสิบบาท หลังจากนั้นเราก็เช็คอินแล้วผ่านตรวจคนขาออกแล้วไปเดินดูร้านค้าที่มีอยู่หลายร้านมากทีเดียว
เครื่องบินออกจากสนามบินตรงตามเวลา พาเรากลับมาลงที่สุวรรณภูมิอย่างปลอดภัย แต่กัปตันแจ้งว่าที่สนามบินสุวรรณภูมิมีฝนฟ้าคะนองอย่งหนัก ต้องบินวนรออยู่ยี่สิบนาที
การเที่ยวในทริปนี้เป็นทริปเล็ก ๆ ที่ลงตัวพอดี ตัดสินใจวางแผนการเที่ยวได้ง่าย แต่รูปแบบการเที่ยวแบบแบ๊คแพ๊คดูจะไม่ค่อยเหมาะกัยวัยของเราเท่าไหร่ เอาไว้ทริปหน้าเราจะหาสมดุลให้ดีกว่านี้
ราเมศร์ เรืองอยู่
ต.ค. 59